ดีเบต ทรัมป์ VS ไบเดน : สรุปประเด็นสำคัญและผลสำรวจความเห็นผู้ชม

โดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน ดีเบตครั้งแรก 27 มิถุนายน 2024
โดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน ดีเบตครั้งแรก 27 มิถุนายน 2024 (ภาพโดย Brian Snyder/REUTERS)

สรุปสาระสำคัญการดีเบตระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับ โจ ไบเดน และผลการสำรวจความคิดเห็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งหลังชมการดีเบต คะแนนเทไปฝั่งทรัมป์

วันที่ 27 มิถุนายน 2024 เวลา 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา (08.00 น. วันที่ 28 มิถุนายน เวลาไทย) โจ ไบเดน (Joe Biden) กับโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน ขึ้นเวทีดีเบตนัดแรกเป็นเวลา 90 นาที ซึ่งจัดโดยสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น (CNN) ที่สตูดิโอในสำนักงานใหญ่ของซีเอ็นเอ็น นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย 

“ประชาชาติธุรกิจ” สรุปสาระจากประเด็นสำคัญในการดีเบต และผลการสำรวจความคิดเห็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งหลังชมการดีเบต ดังต่อไปนี้ 

เศรษฐกิจสหรัฐ

เริ่มต้นคำถามแรก เจก แทปเปอร์ (Jake Tapper) ผู้ดำเนินรายการถามถึงเรื่องเศรษฐกิจว่า ไบเดนจะพูดกับประชาชนอย่างไรในเรื่องเศรษฐกิจ ในระหว่างที่ไบเดนดำรงตำแหน่ง ซึ่งเป็นภาวะที่แย่กว่าในสมัยทรัมป์ 

ไบเดนโทษไปที่ทรัมป์ว่า “เราต้องมาดูกันว่าผมเหลืออะไรอยู่บ้างเมื่อได้เป็นประธานาธิบดี และคุณทรัมป์ทิ้งอะไรไว้บ้าง เรามีเศรษฐกิจที่ตกต่ำ โรคระบาดที่ได้รับการจัดการอย่างแย่ ๆ มีคนจำนวนมากเสียชีวิต … เศรษฐกิจตกต่ำ ไม่มีงานทำ อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 15% มันแย่มาก สิ่งที่เราต้องทำคือพยายามกอบกู้สิ่งต่าง ๆ กลับมาอีกครั้ง”

Advertisment

ฝั่งทรัมป์โต้ว่า “เรามีเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศของเรา เราไม่เคยทำได้ดีขนาดนี้มาก่อน ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกับมัน ประเทศอื่นกำลังลอกเลียนแบบเรา เราเจอโควิด เราใช้เงินด้วยความจำเป็นเพื่อที่เราจะไม่ลงเอยด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ อย่างเช่นที่ประสบในปี 1929 เมื่อเราสิ้นสุดวาระ เราทำงานได้ดีมาก เราได้รับเครดิตมากมายสำหรับเรื่องเศรษฐกิจ เครดิตมากมายสำหรับกองทัพ การไม่มีสงคราม และอื่น ๆ อีกมากมาย” 

ถึงอย่างนั้นก็ตาม คำกล่าวอ้างของทรัมป์ที่ว่าสหรัฐมีเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งนั้นไม่มีมูลความจริง 

ขึ้นภาษีนำเข้า 

จากนั้นแทปเปอร์ถามทรัมป์เกี่ยวกับข้อเสนอของเขาที่จะเก็บภาษีนำเข้า 10% แบบครอบคลุม ว่าเขาจะป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้อย่างไร 

ทรัมป์ตอบว่า “ภาษีจะไม่ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น แต่จะทำให้เกิดผลเสียต่อประเทศต่าง ๆ ที่โกงเรามานานหลายปี เช่น จีน และอีกหลายประเทศ ซึ่งก็ยุติธรรมกับจีนอยู่แล้ว ภาษีจะบังคับให้พวกเขาจ่ายเงินให้เราเป็นจำนวนมาก ลดการขาดดุลของเราลงอย่างมาก และทำให้เรามีอำนาจในการทำอย่างอื่นมากขึ้น”

Advertisment

ด้านไบเดนตำหนิทรัมป์เรื่องนโยบายภาษีของเขา โดยบอกว่านโยบายนี้ทำให้คนรวยได้ลดหย่อนภาษี และทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ที่สามารถนำไปใช้ปรับปรุงระบบโครงการความปลอดภัยทางสังคม (Safety Net) 

ทรัมป์ใช้ประเด็นนี้โต้แย้งทันที โดยโต้แย้งว่าผู้อพยพอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายจะทำให้ระบบประกันสังคมและระบบการดูแลสุขภาพซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาลกลางต้องล้มละลาย

โดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน ดีเบตครั้งแรก 27 มิถุนายน 2024
โดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน ดีเบตครั้งแรก 27 มิถุนายน 2024 (ภาพโดย Brian Snyder/REUTERS)

กฎหมายอนุญาตทำแท้ง 

ไบเดนโจมตีทรัมป์ที่มีส่วนร่วมคว่ำคำตัดสินคดี Roe v Wade ที่อนุญาตการทำแท้งในรัฐต่าง ๆ ทั่วประเทศว่า “สิ่งที่คุณทำลงไปนั้นเป็นเรื่องเลวร้ายมาก” และเขาโต้แย้งว่า แนวคิดที่ว่านักการเมืองเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีนักการเมืองคนใดควรเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้ แต่ที่ควรเป็นคือแพทย์ควรเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้ 

ด้านทรัมป์ย้ำจุดยืนของเขาว่า การควบคุมการทำแท้งควรเป็นหน้าที่ของรัฐ และกล่าวว่าการส่งประเด็นนี้กลับไปให้แต่ละรัฐเป็นผู้พิจารณานั้นถูกต้องแล้ว

ชายแดนและผู้ย้ายถิ่นฐาน

ในประเด็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐานเข้าสหรัฐ ทรัมป์ไม่ได้ตอบคำถามโดยตรงว่าการปราบปรามผู้อพยพอย่างรุนแรงที่เขาสัญญาไว้จะเกี่ยวข้องกับการเนรเทศผู้ที่อยู่ในสหรัฐมานานหลายทศวรรษ ผู้ที่มีงานทำ และผู้ที่มีคู่สมรสเป็นพลเมืองสหรัฐหรือไม่ แต่เขากลับมุ่งโจมตีไบเดน โดยอ้างว่าไบเดนต้องรับผิดชอบในอาชญากรรมที่กระทำโดยผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตอย่างถูกต้องนับตั้งแต่ที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี 

“ตอนนี้เราอาศัยอยู่ในรังหนู พวกเขากำลังฆ่าคนของเรา พวกเขากำลังฆ่าพลเมืองของเราในระดับที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน” ทรัมป์กล่าว 

ด้านไบเดนซึ่งพยายามเน้นย้ำว่าการข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมายลดลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ และเพิ่งออกกฎหมายป้องกันพรมแดนอย่างเข้มงวดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้โต้กลับว่า “ทุกสิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นเรื่องโกหก”

สงครามยูเครน 

ทรัมป์กล่าวอ้างว่าเขาสามารถแก้ปัญหาการรุกรานยูเครนของรัสเซียได้ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี หากเขาชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน

“ผมต้องการให้ยุติสงครามระหว่างปูตินกับเซเลนสกี ในฐานะประธานาธิบดี ก่อนที่ผมจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ผมต้องการให้ยุติสงครามนี้ สงครามครั้งนี้ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตอย่างไม่จำเป็นและโง่เขลา ผมจะทำให้สงครามนี้ยุติลงโดยเร็ว ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่ง” ทรัมป์กล่าว

ด้านไบเดนตอบโต้คำกล่าวของทรัมป์สำหรับกรณียูเครนว่า ทรัมป์ต้องการดึงสหรัฐออกจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และจุดชนวนให้เกิดสงครามที่กว้างขวางขึ้นในยุโรป 

“ผมไม่เคยได้ยินเรื่องโง่เขลาขนาดนี้มาก่อน นี่คือผู้ชายที่ต้องการออกจากนาโต” ไบเดนกล่าว

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณยังคงปล่อยให้ปูตินเข้าสู่พื้นที่นาโต เรามีข้อตกลงตามมาตรา 5 ที่ว่าการโจมตีสมาชิกรายหนึ่งคือการโจมตีทั้งหมด คุณต้องการเริ่มสงครามนิวเคลียร์ เขาพูดอยู่เรื่อยว่าให้ปล่อยให้ปูตินเข้าไปควบคุมยูเครน จากนั้นก็เคลื่อนเข้าสู่โปแลนด์และที่อื่น ๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ?”

สงครามอิสราเอล-ฮามาส 

เมื่อพูดถึงเรื่องสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซา ทรัมป์กล่าวว่า “ปล่อยให้อิสราเอลทำงานให้เสร็จ” (จัดการฮามาสให้สิ้น) โดยชี้ว่ารัฐบาลไบเดนได้ทำมากพอแล้วในการยับยั้งรัฐบาลอิสราเอลและยับยั้งการโจมตีทางทหารต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา

ทรัมป์ไม่ได้บอกว่าเขาจะสนับสนุนรัฐปาเลสไตน์หรือไม่ แต่ยืนยันว่าการโจมตีของกลุ่มฮามาสในอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมจะ “ไม่เกิดขึ้น” หากเขาอยู่ในทำเนียบขาวในเวลานั้น และเขายังกล่าวอีกว่า ไบเดนเห็นใจชาวปาเลสไตน์จนเหมือนเป็นชาวปาเลสไตน์คนหนึ่งแล้ว 

ด้านไบเดนไม่ได้กล่าวอะไรมากนักในประเด็นนี้ แต่เขาพูดถึงความเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดระหว่างสหรัฐกับอิสราเอล และเน้นย้ำเป็นพิเศษว่าสหรัฐกำลังจัดหาอาวุธทุกอย่างและทุกเมื่อที่อิสราเอลต้องการ

ผู้ชมยกให้ทรัมป์ทำได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด 

หลังจบการดีเบต ซีเอ็นเอ็นเผยแพร่ผลการสำรวจความเห็นผู้ชมการดีเบตที่สำรวจความเห็นผ่านทาง SMS จำนวน 565 คน พบว่าผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงที่รับชมการดีเบตระหว่างประธานาธิบดี โจ ไบเดน และอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ 67% กล่าวว่า ทรัมป์ทำได้ดีกว่าในการดีเบตนัดแรกนี้ ส่วนอีก 33% ตอบว่าไบเดนทำได้ดีกว่า 

ขณะที่การสำรวจก่อนการดีเบต ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงกลุ่มเดียวกัน 55% คาดหวังว่าทรัมป์จะทำได้ดีกว่าไบเดน (45%) 

ทั้งนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นสะท้อนให้เห็นเฉพาะความคิดเห็นเกี่ยวกับการดีเบตในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่รับชมการดีเบต และไม่ได้เป็นตัวแทนของของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด และผู้ชมการดีเบตในการสำรวจมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนพรรครีพับลิกันมากกว่าพรรคเดโมแครต 

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์การสำรวจเปลี่ยนไปจากการสำรวจหลังการดีเบตในปี 2020 ที่ผู้ชมการดีเบตมองว่าไบเดนทำผลงานได้ดีกว่าทรัมป์

ผู้สังเกตการณ์การดีเบตล่าสุด 57% ระบุว่าพวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นในความสามารถของไบเดนในการเป็นผู้นำประเทศ และ 44% กล่าวว่าพวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นในความสามารถของทรัมป์ ตัวเลขเหล่านี้ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจากการสำรวจก่อนการดีเบต ซึ่งผู้ลงคะแนน 55% กล่าวว่าพวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นในตัวไบเดน และ 47% กล่าวว่าพวกเขาขาดความเชื่อมั่นในตัวทรัมป์ 

อ้างอิง :

ข่าวที่เกี่ยวข้อง