จีนสั่งสอบนำเข้า “หมู” ส่อเปิดฉากศึกการค้ากับอียู

หมู ฝรั่งเศส
ภาพโดย Fred TANNEAU / AFP
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงเมื่อ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา ถึงการเริ่มต้นสอบสวนหาข้อเท็จจริงว่า เกิดการทุ่มตลาดสินค้าเกษตรจำพวกเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากหมู ที่จีนนำเข้ามาจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือไม่ โดยกำหนดใช้เวลาในการสอบสวนทั้งสิ้น 12 เดือน แต่สามารถยืดเวลาต่อไปได้อีก 6 เดือนที่น่าสนใจก็คือ การสอบสวนดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ อียู แถลงผลการสอบสวนการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จากจีน ว่าเข้าข่ายการทำการค้าไม่เป็นธรรมหรือไม่ และประกาศ เพิ่มการเรียกเก็บภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้ารถอีวีจากจีนเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่เดิมจนถึงระดับสูงสุด 38%

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ทางการอียูจะมองว่า การสอบสวนของจีนครั้งนี้ “ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์” เพราะถือเป็นการดำเนินการเพื่อ “ตอบโต้” การขึ้นภาษีรถอีวีของอียู “ซึ่งไม่ใช่การกระทำทำนองเดียวกันเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น” โฆษกสภาหอการค้าของอียูในจีนย้ำแต่ทางฝ่ายจีนยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายจีนและกฎข้อบังคับขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) หลังจากมีการ “ร้องเรียนอย่างเป็นทางการ” จากสมาคมปศุสัตว์เพื่อการเกษตรแห่งจีน (The China Animal Agriculture Association) ซึ่งเป็นกลุ่มตัวแทนอุตสาหกรรมหมูภายในประเทศ ที่ออกมากล่าวหาว่า อียู ทุ่มตลาดหมูและผลิตภัณฑ์จากหมู ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมไม่เป็นธรรมทางการค้า

ผู้สันทัดกรณีตั้งข้อสังเกตว่า ถ้อยคำที่ทางการจีนใช้ในการแถลงถึงการสอบสวนครั้งนี้นั้น แทบจะเป็นการหยิบยกเอามาจากถ้อยแถลงของอียู เมื่อครั้งที่ประกาศการสอบสวนการนำเข้ารถอีวีจีนก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน

มีกระทั่้งการกล่าวหาว่า อุตสาหกรรมหมูของอียู ก่อให้เกิด “ผลผลิตส่วนเกิน” และเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์มหาศาลจากการให้การสนับสนุนของภาครัฐ

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจีน มีขึ้นไม่นานหลังจากโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจขึ้นภาษีรถอีวีจีนว่า ไม่ชอบธรรม และประกาศจะ “ใช้ทุกมาตรการ” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของจีน, รักษาข้อกำหนดกฎเกณฑ์ของดับเบิลยูทีโอ และรักษาหลักการของตลาดในการค้าโลก

Advertisment

แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวของจีนครั้งนี้ ก่อให้เกิดความกังวลขึ้นกับอุตสาหกรรมหมูในอียู ด้วยเหตุที่ว่า จีนถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกของอุตสาหกรรมนี้ สภาอาหารและการเกษตรแห่งเดนมาร์ก (The Danish Agriculture and Food Council) ยอมรับว่า หากจีนเข้มงวดกับการนำเข้าจากอียูจริง ทั้งอุตสาหกรรมต้องมีปัญหาหนักแน่ ๆ

ประเทศอย่าง “สเปน” ซึ่งเป็นผู้ส่งออกหมูไปยังจีนรายใหญ่ที่สุด ออกมาเรียกร้องทันที ขอให้เจ้าหน้าที่ทางอียู หาหนทางแก้ไขเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งกำแพงภาษีเป็นการตอบโต้ของจีน

ในทรรศนะของผู้สันทัดกรณี สิ่งที่เกิดขึ้นคือการตอบโต้ทางการค้าแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ระหว่างประเทศทั้งสอง และความขัดแย้งครั้งนี้มีความเสี่ยงสูงมากที่จะขยายตัวลุกลามออกไปกลายเป็นการแสดงความแข็งกร้าวเข้าใส่กันต่อเนื่องต่อไป

นั่นแสดงให้เห็นว่าแทบทุกคนเชื่อกันว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เชื่อมโยงกับการขึ้นภาษีนำเข้ารถอีวีจีนอย่างแน่นอน และทำให้การหาทางออกยุ่งยากมากขึ้น ด้วยเหตุที่ว่า ฝ่ายอียูมองว่า การให้การสนับสนุนจากภาครัฐต่อรถอีวีจีน ก่อให้เกิดการ “บิดเบือนการแข่งขัน” ต่อตลาดรถอีวีของทั้งโลก

Advertisment

แต่ในเวลาเดียวกัน จีนกลับมองว่า มาตรการที่อียูนำมาใช้ เป็นเพียงการดำเนินการเพื่อ “กีดกันทางการค้า” และ “เป็นไปได้ที่จะเป็นการละเมิด” กฎข้อบังคับของดับเบิลยูทีโอ

“ฟาเบียง ซูลีจ” ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายแห่งยุโรป (อีพีซี) ระบุว่า ทั้งสองกรณีสะท้อนให้เห็นถึงการขาด “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ซึ่งกันและกัน และแสดงให้เห็นถึง “แนวคิด” ทางการค้าที่แตกต่างกันมหาศาลด้วยอีกต่างหาก

ซูลีจเชื่อว่า จะยังคงมีการตอบโต้กันทางการค้าระหว่างจีนกับอียูเกิดขึ้นได้อีกหลายกรณีนับจากนี้ ซึ่งไม่น่ากังวลเท่ากับว่า ทำอย่างไรถึงจะจำกัดความขัดแย้งลงให้อยู่ในวงจำกัดได้

“ผมไม่คิดว่าจะมีใครอยากให้เกิดสงครามการค้ากันเกิดขึ้น เพราะสงครามการค้ามีแต่จะทำให้เกิดการสูญเสียมหาศาลกับทั้งสองฝ่าย แต่ปัญหาก็คือ ความเสี่ยงที่ความขัดแย้งนี้จะลุกลามออกไปก็มีอยู่อย่างเห็นได้ชัด”

ซูลีจเชื่อว่า รออีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ก็คงได้รู้กันแล้วว่า การตอบโต้กันด้วยมาตรการภาษีครั้งนี้ จะลงเอยด้วยสงครามการค้าเต็มรูปแบบระหว่างจีนกับอียูหรือไม่