นักวิเคราะห์-นักลงทุนมอง NVIDIA แซง Microsoft แน่ มูลค่า $5 ล้านล้าน ไม่ไกลเกินจริง

เอ็นวิเดีย Nvidia แซง ไมโครซอฟท์ microsoft

ยุคสมัยแห่งการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นแรงลมหนุนขนาดใหญ่ที่ส่งให้เอ็นวิเดีย (NVIDIA) บริษัทเทคที่ผลิตชิปสำหรับ AI ผงาดขึ้นเป็นบริษัทที่มาแรงแซงยักษ์ใหญ่ในวงการเทคเกือบทุกเจ้า 

หุ้นเอ็นวิเดียที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (NASDAQ: NVDA) ราคาเพิ่มขึ้น 5.2% ปิดที่ 1,224.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เมื่อวันพุธที่ 5 มิถุนายน 2024 ผลักดันมูลค่าตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคปของเอ็นวิเดียขึ้นไปอยู่ที่ 3.012 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งให้เอ็นวิเดียแซงหน้าแอปเปิล (Apple Inc.) ซึ่งมีมาร์เก็ตแคป 3.003 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นไปเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงไมโครซอฟท์ (Microsoft) ที่มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 3.151 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

เมื่อเอ็นวิเดียแซงแอปเปิลได้แล้ว ตอนนี้หลายคนกำลังจับตามองดูว่า เอ็นวิเดียจะแซงไมโครซอฟท์ขึ้นไปนั่งบัลลังก์เบอร์ 1 ของโลกได้หรือไม่ ? ถ้าได้… จะช้าหรือเร็วแค่ไหน ? 

สำหรับคำถามนี้ บรรดานักวิเคราะห์และนักลงทุนมองว่า “เป็นไปได้แน่” อีกทั้งมองว่า เอ็นวิเดียจะเป็นบริษัทแรกของโลกที่มีมูลค่าตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคปทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเวลาและหนทางที่อยู่อีกไม่ไกล 

นักวิเคราะห์หลายคนตั้งข้อสังเกตตรงกันว่า เอ็นวิเดียเป็นผู้รับประโยชน์หลักจากเทรนด์การพัฒนา AI โดยเอ็นวิเดียมีชิปประมวลผล AI ในชื่อ “แบล็กเวลล์” (Blackwell) ที่ลูกค้าบิ๊กเทคของโลกเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น แอมะซอน (Amazon.Com) อัลฟาเบต (Alphabet Inc) กูเกิล (Google) เมตา (Meta Platforms Inc.) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) 

Advertisment

จิม เครเมอร์ (Jim Cramer) อดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินรายการ Mad Money ของซีเอ็นบีซี (CNBC) เป็นคนหนึ่งที่มั่นใจว่า มาร์เก็ตแคปของเอ็นวิเดียจะแซงหน้าไมโครซอฟต์ได้ในไม่ช้า เขาอธิบายว่า ชุมชนวอลล์สตรีทหรือผู้คนในตลาดหุ้นไม่กังขาเลยถึงการที่มาร์เก็ตแคปของเอ็นวิเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

เครเมอร์ตั้งข้อสังเกตว่าชื่อเสียงของเอ็นวิเดียส่วนใหญ่มาจากองค์กรและนักเล่นเกมระดับฮาร์ดคอร์ อย่างไรก็ตาม เครเมอร์ชี้ว่า ความสำคัญของเอ็นวิเดียนั้นครอบคลุมมากไปกว่าการเล่นเกม โดยเขาเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของเอ็นวิเดียในด้านปัญญาประดิษฐ์ การประมวลผลระบบคลาวด์ และศูนย์ข้อมูล ซึ่งทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนการเติบโตของเอ็นวิเดีย 

“ชิปของเอ็นวิเดียเป็นกระดูกสันหลังของความก้าวหน้าด้าน AI และกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมทั่วโลก”

“ศักยภาพของเอ็นวิเดียมีมากมาย และผลิตภัณฑ์ของบริษัทกำลังกลายเป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เป็นบริษัทที่สามารถกำหนดอนาคตของเทคโนโลยีได้” เครเมอร์กล่าว 

Advertisment

หลุยส์ นาเวลลิเยอร์ (Louis Navellier) หนึ่งในนักลงทุนที่มีชื่อเสียงในวอลล์สตรีทมองว่า หลังจากที่เอ็นวิเดียแซงแอปเปิลได้แล้ว ไมโครซอฟท์จะเป็นบริษัทถัดไปที่เอ็นวิเดียจะแซงบนเส้นทางที่เอ็นวิเดียกำลังมุ่งหน้าไปสู่มาร์เก็ตแคป 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

“เมื่อวันพุธที่ผ่านมา มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดีย (3.012 ล้านล้านดอลลาร์) แซงหน้าแอปเปิล (3.003 ล้านล้าดอลลาร์) และมีแนวโน้มที่จะแซงหน้าไมโครซอฟต์ (3.151 ล้านล้านดอลลาร์) ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า” นาเวลลิเยอร์กล่าว 

“ผมคาดว่า เอ็นวิเดียจะกลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาดถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” นักลงทุนชื่อดังคาดการณ์

นักวิเคราะห์ของแบงก์ออฟอเมริกา ซีเคียวริตีส์ (BofA Securities) ก็ย้ำความมั่นใจในอนาคตของเอ็นวิเดียเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า เอ็นวิเดียเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในการเลือกหุ้น โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์ต่อหุ้น และพวกเขามองว่าเอ็นวิเดียอยู่ในโพสิชันที่ดีที่สุดในการให้บริการแก่การพัฒนา AI และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการแข่งขัน เพราะถึงแม้ว่าจะมีคู่แข่งอยู่บ้าง แต่เอ็นวิเดียก็เป็นผู้นำอย่างทิ้งห่างในหลาย ๆ ด้าน 

ทั้งนี้ เอ็นวิเดียเพิ่งแตกพาร์หุ้นออกในสัดส่วน 10 ต่อ 1 เพื่อให้พนักงานและนักลงทุนรายย่อยเข้าถึงหุ้นของบริษัทได้ง่ายขึ้น โดยมีผลหลังปิดตลาดวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน เมื่อตลาดเปิดในวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน หุ้นที่นักลงทุนถืออยู่ก่อนวันที่ 7 มิถุนายน จำนวน 1 หุ้น จะเพิ่มเป็น 10 หุ้น จากราคาหุ้นละ 1,208.88 ดอลลาร์สหรัฐ (ราคาปิดตลาดวันที่ 7 มิถุนายน) จะเป็นหุ้นละ 120.888 ดอลลาร์สหรัฐ 

แม้ว่าการแยกหุ้นจะไม่เปลี่ยนแปลงพื้นฐานใด ๆ เกี่ยวกับธุรกิจของบริษัท แต่การแยกหุ้นมีแนวโน้มที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับนักลงทุน เพราะจะมีนักลงทุนจำนวนมากขึ้นที่สามารถซื้อหุ้นได้เมื่อหุ้นมีขนาดเล็กลง-ราคาน้อยลง 

มีข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ในช่วง 1 ปีหลังจากการแตกหุ้น หุ้นจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าตลาดโดยรวม โดยการศึกษาที่จัดทำโดย แบงก์ออฟอเมริกา โกลบอล รีเสิร์ช (Bank of America Global Research) เผยว่า ในช่วง 12 เดือนหลังจากการแตกหุ้น บริษัทที่แตกหุ้นจะสร้างผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 25.4% ขณะที่ดัชนี S&P 500 (ดัชนีหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ 500 บรนิษัทในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ) ให้ผลตอบแทน 11.9% 

แต่ถึงอย่างนั้น การเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของราคาหุ้นไม่ได้เกิดจากการแยกหุ้นเสมอไป แต่เกิดจากธุรกิจที่แข็งแกร่งและผลการดำเนินงานที่ดีที่จะกระตุ้นให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น แล้วนำไปสู่การแตกหุ้น ก่อนที่หุ้นหลังแตกพาร์จะทำผลงานได้ดีต่อไป  

จะอย่างไรก็ตาม สำหรับเอ็นวิเดีย ณ เวลานี้ ข้อมูลก็ชี้ว่าหลังการแยกหุ้นในวันที่ 7 มิถุนายน 2024 หุ้นเอ็นวิเดียมีแนวโน้มที่จะยังคงมีประสิทธิภาพเหนือกว่าภาพรวมของตลาดต่อไปดังที่เป็นมาในอดีต โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นของเอ็นวิเดียเพิ่มขึ้น 24,380% ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 174% 

อ้างอิง :

อ่านเนื้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง