ท่องเที่ยวสปีดรายได้ครึ่งปีหลัง สทท.ชง 6 ยุทธศาสตร์ปั๊ม 3.5 ล้านล้าน

ท่องเที่ยว วัดพระแก้ว

กระทรวงท่องเที่ยวสั่งสปีดรายได้ครึ่งปีหลัง หวั่นรายได้ปี’67 หลุดเป้า สทท. เสนอ 6 ยุทธศาสตร์ปั๊มรายได้ 3.5 ล้านล้าน หลังค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการไตรมาส 2/2567 ร่วง รายได้ผู้ประกอบการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน ด้าน ททท.ทุ่มงบฯอัดบิ๊กอีเวนต์ ปลุกเที่ยวในประเทศทุกเดือนหวังหนุนรายได้ถึงเป้า

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า มีความกังวลมากในการผลักดันรายได้จากการท่องเที่ยวปีนี้ให้บรรลุเป้าหมาย 3.5 ล้านล้าน และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 36.7 ล้านคน เนื่องจากในช่วง 5 เดือนครึ่ง (1 มกราคม-16 มิถุนายน 2567) ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมประมาณ 16 ล้านคน สร้างรายได้ราว 1.1 ล้านล้านบาท

กระทรวงจึงให้นโยบายการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เร่งกระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นปลายปี เพื่อทำรายได้รวมการท่องเที่ยวอีก 2.4 ล้านล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยให้ได้อีก 21.7 ล้านคน

คาดเต็มที่ดีสุดทำได้ 3 ล้านล้าน

นายกิตติ พรศิวะกิจ ประธาน Smart Tourism ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า คาดว่าในครึ่งปีแรก (1 มกราคม-30 มิถุนายน 2567) ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวตามเป้าที่ 17.5 ล้านคน แต่มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยยังมีความท้าทายค่อนข้างสูง สามารถเกิดขึ้นได้ 3 Scenario

กล่าวคือ 1.Worse Case ประเมินว่าจะมีรายได้รวม 2.7 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 36 ล้านคน สร้างรายได้ 1.7 ล้านล้านบาท และตลาดไทยเที่ยวไทย 200 ล้านคน-ครั้ง รวมมูลค่า 0.9 ล้านล้านบาท

Advertisment

2.Base Case มีรายได้รวม 3 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวจำนวน 38 ล้านคน สร้างรายได้ 1.9 ล้านล้านบาท และตลาดไทยเที่ยวไทย 220 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1.1 ล้านล้านบาท

และ 3.Best Case มีรายได้รวม 3.5 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน สร้างรายได้ 2.24 ล้านบาท และตลาดไทยเที่ยวไทย 229 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1.26 ล้านบาท

นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากสถานการรณ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน สทท.ประเมินว่ากรณี Worse Case หรือมีรายได้รวม 2.7 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวต่างชาติ 36 ล้านคนนั้นมีความเป็นไปได้แน่นอน และดีที่สุดอาจถึงเป้าหมายกรณี Base Case มีรายได้รวม 3 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวจำนวน 38 ล้านคน และตลาดไทยเที่ยวไทย 220 ล้านคน-ครั้ง

เสนอ 6 ยุทธศาสตร์ปั๊ม 3.5 ล้านล้าน

นายชำนาญกล่าวว่า สทท.เชื่อมั่นว่าดีมานด์ทั่วโลกมีปริมาณมากพอในการที่จะขับเคลื่อนให้ภาคการท่องเที่ยวของประเทศสามารถสร้างรายได้ได้ถึง 3.5 ล้านล้านบาท ตามเป้าหมายท้าทายของรัฐบาล จึงขอนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนให้ภาคการท่องเที่ยวก้าวไปถึง Best Case หรือมีรายได้รวม 3.5 ล้านล้านบาท ผ่าน 6 ยุทธศาสตร์หลัก

Advertisment

ประกอบด้วย 1.ตั้ง Thailand Team โดยเสนอให้ ททท. ใช้สำนักงานในต่างประเทศทั้ง 29 สำนักงาน ผนึกพันธมิตรเอเย่นต์ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละตลาดจำนวน 10 ราย เร่งทำการตลาดทั้งในเชิงรุก-รับในช่วงครึ่งปีหลังแบบฮาร์ดเซล เพื่อเติมจำนวนนักท่องเที่ยวทันที 4 ล้านคน พร้อมเพิ่มน้ำหนักการทำตลาดในตลาดศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง อินเดีย จีนและคนเชื้อสายจีนในสิงคโปร์และฮ่องกง อาเซียน และออสเตรเลีย เพื่อเพิ่มวันพัก และเพิ่มค่าใช้จ่าย เพื่อให้มีอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปเพิ่มขึ้น

“ปัจจุบันนักท่องเที่ยวกลุ่มตะวันออกกลางมีการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ในระดับ 100,000 บาทต่อคนต่อทริป เร่งพัฒนามัคคุเทศก์ภาษาอาหรับ รวมถึงฝึกอบรมเพื่อเป็นผู้ให้ข้อมูลในด้านเมดิคอลแอนด์เวลเนส ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ รวมถึงหากิจกรรมเสริม เติมเมืองน่าเที่ยว เติมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ฯลฯ หรือสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นเมืองเกษียณโลก เพื่อเพิ่มวันพักและรายได้การท่องเที่ยว” นายชำนาญกล่าว

2.ใช้แอร์พอร์ตเป็นฮับใช้รถบัสและบริษัทนำเที่ยวเป็นตัวกระจายนักท่องเที่ยวออกไปสู่เมืองน่าเที่ยว เพื่อตอบโจทย์นโยบายส่งเสริมเมืองน่าเที่ยว โดยอยากให้รัฐบาลช่วยดูแลปัญหาและอุปสรรค เช่น พัฒนาระบบสาธารณูปโภค ซ่อมและสร้างแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้สินค้าท่องเที่ยวในพื้นที่มีความพร้อมสำหรับเสนอขายทั้งตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศและในประเทศ

3.เติมตลาดไทยเที่ยวไทยอย่างเร่งด่วนในช่วงไตรมาส 3 นี้เท่านั้น เช่น ทำโครงการบัสทัวร์ทั่วไทย ทุกภาคทั่วประเทศช่วง 3 เดือนในช่วงไตรมาส 3 นี้ เช่น สนับสนุนเดือนละ 5,000 คัน คันละ 10,000 บาท โครงการรัฐทัวร์ทั่วไทย สนับสนุนให้กลุ่มข้าราชการออกเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา หรือโครงการท้องถิ่นเที่ยวไทย เป็นต้น เพื่อเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น

4.ขอรัฐจัดสรรงบประมาณจากโครงการดิจิทัลวอลเลตมาสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว 20% หรือ 100,000 ล้านบาท 5.ซ่อม-สร้างแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาศักยภาพบุคลากร และผู้ประกอบการ ให้มีความพร้อมเพื่อทำให้นักท่องเที่ยวมีประสบการณ์ที่ดีในทุกขั้นตอนการเดินทางของนักท่องเที่ยว (Customer Journey) และเป็นสปริงบอร์ดของภาคการท่องเที่ยวเติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืนต่อเนื่องในปี 2568 และปีต่อ ๆ ไป

และ 6.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของการท่องเที่ยวในระยะยาว เพื่อผลักดันดัชนี TTDI จากอันดับที่ 47 สู่ 25 ของโลก โดยใช้กองทุนท่องเที่ยวฯ เพื่อซ่อมสร้างคนและแหล่งท่องเที่ยว ยกระดับมาตรฐาน ความปลอดภัย ห้องน้ำสะอาด ป้ายบอกทาง ร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อการเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน

“ที่ผ่านมารัฐบาลก็ให้ความสำคัญและสนับสนุนอย่างมาก ทั้งมาตรการวีซ่าฟรี 93 ประเทศ/พื้นที่ การขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์เพื่อการท่องเที่ยว การส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ การผลักดันให้เกิดเมกะอีเวนต์ต่าง ๆ รวมถึงการส่งเสริมเมืองรองให้เป็นเมืองน่าเที่ยวผ่านมาตรการภาษี แต่อยากให้พิจารณาข้อเสนอทั้ง 5 ของสภาท่องเที่ยวเพิ่มเติมด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าหากสามารถทำได้ เป้าหมายรายได้ 3.5 ล้านล้านสำหรับปีนี้ มีความเป็นไปได้แน่นอน” นายชำนาญกล่าว

ดัชนีเชื่อมั่น Q2-Q3 ร่วงหนัก

นายชำนาญกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันสถานการณ์การท่องเที่ยวโดยรวมของไทยยังอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง โดยจากการสำรวจค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวไตรมาส 2/2567 พบว่า อยู่ที่ระดับ 79 (ค่าปกติคือ 100) สะท้อนสถานการณ์ท่องเที่ยวในไตรมาสนี้ต่ำกว่าไตรมาสที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับ 82 และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ดีกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

โดยรายได้ของสถานประกอบการในไตรมาส 2/2567 หดตัวลงจากไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ร้อยละ 48 ของช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจร้านขายของฝาก ของที่ระลึก และร้านค้าทั่วไป มีการฟื้นตัวของรายได้ช้ากว่าธุรกิจประเภทอื่น โดยรายได้หดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน สะท้อนกำลังซื้อภายในประเทศที่กำลังหดตัว

ทั้งนี้ พบว่าค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่างจังหวัดในไตรมาส 2/2567 มีจำนวนประมาณ 2,683 บาท/คน/ทริป ลดลงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับ 6,856 บาท/คน/ทริป สะท้อนถึงกำลังซื้อที่หดตัวมากในไตรมาสนี้

นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวในไตรมาส 3/2567 จะอยู่ที่ระดับ 75 สะท้อนชัดเจนว่าภาพรวมของการท่องเที่ยวในไตรมาส 3 จะยิ่งแย่กว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

โหมบิ๊กอีเวนต์กระตุ้นเที่ยวใน ปท.

ด้านนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 นี้ ททท.วางแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยด้วยบิ๊กอีเวนต์ จัดกิจกรรมเทศกาลต่าง ๆ ทุกเดือนตามนโยบาย “IGNITE THAILAND TOURISM” ทั้งในพื้นที่เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยวทั่วประเทศ

ทั้งนี้ เพื่อให้ปี 2567 เป็นปีท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย พร้อมก้าวสู่ Tourism Hub โลก ทั้งกิจกรรมในมิติของอาหาร ดนตรี กีฬา ศิลปะ วัฒนธรรมต่าง ๆ โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมป็นต้นไป อาทิ กิจกรรมอาหาร Amazing Food Festival 2024 โครงการ “ศรัทธา” ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวสายบุญสายมู

กิจกรรม Amazing Beach Life Festival กระตุ้นการเดินทางช่วงโลว์ซีซั่นในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล กิจกรรม VIJIT 5 ภาค กิจกรรม AMAZING MUAY THAI EXPERIENCE นำเสนอมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทย ผ่านอัตลักษณ์มวยไทยโบราณ รวมถึงกิจกรรม Amazing Music Festival

นอกจากนี้ยังสนับสนุนการจัดกิจกรรมของทั้งภาครัฐ เอกชน ในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ อาทิ Bangsaen Grand Prix จังหวัดชลบุรี ประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน จังหวัดเลย ประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี พัทยามาราธอน 2024 จังหวัดชลบุรี ฯลฯ รวมถึงร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรมอบสิทธิประโยชน์ โปรโมชั่นพิเศษแก่นักท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ

4 ตลาดท็อป 5 ตัวเลขแซงปี’62

นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวว่า ปัจจุบันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-23 มิถุนายน 2567 มีจำนวนเกือบ 17 ล้านคน ถือว่าเดินทางมาถึงครึ่งทางของเป้าที่วางไว้ที่ 35 ล้านคน และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือจะสามารถทำได้มากกว่า 17 ล้านคน

โดยเฉพาะในช่วงปลายปีซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หรือ High Season ส่วนจะถึง 36.7 ล้านคน ตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้หรือไม่ ยังต้องรอลุ้น

“ในปีนี้คาดว่าจะมี 4 ประเทศในท็อป 5 ต่างชาติที่เดินทางเที่ยวไทยสูงสุด มีแนวโน้มทำนิวไฮจากปี 2562 ได้แก่ มาเลเซีย (อันดับ 2) คาดว่าจะมีจำนวน 5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 2.9 ล้านคน อินเดีย (อันดับ 3) คาดว่าปีนี้จะมีจำนวน 2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 1.4 ล้านคน เกาหลีใต้ (อันดับ 4) คาดว่าจะมีจำนวน 1.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้าน และรัสเซีย (อันดับ 5) คาดว่าจะมีจำนวน 1.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านคน” นายศิษฎิวัชรกล่าว