“เซ็นทารา” รุกอาเซียน ประเดิมไลฟ์สไตล์โฮเทล “เวียงจันทน์”

COSI

ในช่วงระยะ 3 ปีนี้ (2567-2569) กลุ่มบริษัทเซ็นทารากำหนดงบฯลงทุนไว้ที่ประมาณ 1.3-2 หมื่นล้านบาท (รวมโรงแรมและอาหาร) โดยในปี 2567 นี้วางงบฯไว้ประมาณ 6,500-7,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนภายในประเทศ มัลดีฟส์ และภูมิภาคอาเซียน

สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในปีหน้า 2568 นั้น ไฮไลต์จะเป็นการลงทุนในมัลดีฟส์ จำนวน 2 แห่ง คือ เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ และเซ็นทาราแกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นรีสอร์ตหรู รวมมูลค่าการลงทุนประมาณ 4,600 ล้านบาท

ทุ่ม 2 หมื่นล้านลงทุนทั้งใน-ตปท.

“ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา ให้สัมภาษณ์ถึงแผนการขยายฐานธุรกิจโรงแรมก่อนหน้านี้ว่า ณ สิ้นปี 2566 เซ็นทารามีโรงแรมที่เปิดบริการแล้ว 51 แห่ง รวมกว่า 11,600 ห้อง และมีโรงแรมอยู่ในไปป์ไลน์ (เซ็นสัญญาแล้วอยู่ระหว่างก่อสร้าง) 44 แห่ง รวมกว่า 9,800 ห้อง ทำให้เครือเซ็นทารามีโรงแรมรวม 95 แห่ง รวมกว่า 21,000 ห้อง

และตั้งเป้าหมายว่า เมื่อเปิดให้บริการโรงแรมได้ครบ 95 แห่ง จะทำให้ “เซ็นทารา” ติด “Top 100” เชนโรงแรมชั้นนำระดับโลกได้ภายในปี 2570 ตามแผนยุทธศาสตร์ Future Growth ในระยะยาว

ทั้งนี้ มีเป้าหมายขยายธุรกิจไปในตลาดใหม่ ๆ ทั่วโลก โดยในปี 2567 นี้มีแผนเปิดให้บริการโรงแรมทั้งในและต่างประเทศเพิ่มรวม 6 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมในประเทศไทย 3 แห่ง สปป.ลาว 2 แห่ง และมัลดีฟส์ 1 แห่ง รวมมูลค่าการลงทุนประมาณ 6,500-7,000 ล้านบาท

Advertisment

โดยในประเทศไทย ได้แก่ เซ็นทารา ไลฟ์ ละไม รีสอร์ท สมุย จำนวน 40 ห้อง เซ็นทารา วิลลา เกาะพีพี (กระบี่) จำนวน 40 ห้อง และเซ็นทารา ไลฟ์ สุราษฎร์ธานี จำนวน 101 ห้อง ส่วน 2 แห่งใน สปป.ลาว ได้แก่ โคซี่ เวียงจันทน์ น้ำพุ จำนวน 95 ห้อง(เปิดบริการแล้ว) และเซ็นทารา พลูมเมอเรีย รีสอร์ท ปากเซ และอีก 1 แห่งในมัลดีฟส์ คือ เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ จำนวน 145 ห้อง

ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์
ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์

ปักหมุด “โคซี่” เวียงจันทน์

“พศิน นพสุวรรณ” ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมโคซี่ เวียงจันทน์ นํ้าพุ ให้ข้อมูลว่า โรงแรมโคซี่ เวียงจันทน์ นํ้าพุ เป็นโรงแรมขนาด 95 ห้อง ด้วยตัวเลือกห้องพัก 3 ประเภท ได้แก่ ห้องโคซี่ (COSI), ห้องโคซี่ พลัส (COSI Plus) และห้องโคซี่ครอบครัว (COSI Family) มีขนาดห้องตั้งแต่ 18 ตารางเมตร ไปจนถึง 39 ตารางเมตร ออกแบบตามคอนเซ็ปต์แบรนด์โรงแรมโคซี่

ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบความเป็นอิสระในยุคดิจิทัล ให้สามารถเชื่อมต่อประสบการณ์การท่องเที่ยว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีพื้นที่ส่วนกลางโซเชียลฮับสำหรับการพบปะสังสรรค์ ดื่มกิน เล่นเกม ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเปิดให้บริการคาเฟ่ 247 ตลอด 24 ชม.

และไม่เพียงแต่จะเป็นโรงแรมในเครือเซ็นทาราแห่งแรกใน สปป.ลาว แล้วยังเป็นแบรนด์ “โคซี่” แห่งแรกในต่างประเทศอีกด้วย จากปัจจุบันที่เปิดให้บริการในประเทศไทย 3 แห่ง คือ สมุย พัทยา กระบี่

Advertisment

COSI

“แบรนด์โคซี่ เราเน้นการออกแบบที่ทันสมัย รองรับนักเดินทางยุคดิจิทัลผู้รักอิสระ เน้นบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มอายุตั้งแต่ 20-40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น WiFi ฟรี ในสมาร์ททีวี มีอุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่”

โดยบริษัท Asia Investment, Development and Construction หรือ AIDC ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมมองว่า แบรนด์ “โคซี่” ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์โฮเทล มีแคแร็กเตอร์ที่เหมาะกับโลเกชั่นที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่เรียกว่า “ย่านนํ้าพุ”

ประกอบกับโรงแรมในเซ็กเมนต์ “สไตล์โฮเทล” ยังเป็นช่องว่างทางการตลาดและมีโอกาสสูง โดยโรงแรมที่ลงทุนขนาดใหญ่ในเวียงจันทน์และดึงเชนจากต่างประเทศเข้ามาบริหารนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ระดับ 4-5 ดาว มีจำนวนห้องพักประมาณ 100-200 ห้อง สำหรับรองรับลูกค้ากลุ่มใหญ่และตลาดไมซ์ เช่น อวานี, อมารี, เรดิสัน, ดับเบิลทรี บาย ฮิลตัน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการลงทุนก่อสร้าง

ส่วนโรงแรมขนาดที่ไม่ใหญ่มากก็มีที่เปิดให้บริการบ้าง แต่ยังไม่มากนัก เช่น ไอบิส ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับโคซี่ ก็มีแคแร็กเตอร์และรูปแบบการให้บริการที่แตกต่างกัน

“เราเน้นบรรยากาศการให้บริการเหมือนเราเป็นเจ้าของบ้าน มีแขกที่เป็นเพื่อนบ้านมาเที่ยวบ้านเรา โดยมีเราคอยดูแล และแนะนำว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ซึ่งในบริเวณใกล้เคียงกับโรงแรมก็มีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง อาทิ ประตูไซ วัดศรีสะเกษ หอพระแก้ว ถนนคนเดินริมแม่น้ำโขงตอนกลางคืน เป็นต้น”

พศิน นพสุวรรณ
พศิน นพสุวรรณ

ขยาย “อาเซียน-มัลดีฟส์-ดูไบ”

“พศิน” บอกด้วยว่า นอกจากนี้ โรงแรมโคซี่ เวียงจันทน์ นํ้าพุ AIDC ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมบอกว่า มีโครงการที่อยู่ระหว่างสร้างอีก 3 โรงแรม อยู่ที่หลวงพระบาง 2 แห่ง และสะหวันนะเขต 1 แห่ง และทั้ง 3 โรงแรมใหม่อยู่ระหว่างเจรจากับเซ็นทาราว่าจะเลือกใช้แบรนด์ใดเข้าบริหารให้ด้วย

ทั้งนี้ เป็นการลงทุนต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดย สปป.ลาวตั้งเป้าว่าการท่องเที่ยวของลาวจะกลับมาใกล้เคียงกับปีก่อนเกิดโควิด (ปี 2562) ได้ภายในปี 2569 โดยตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยว สปป.ลาว สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย เวียดนาม จีน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย

และไม่เพียงเท่านี้ ในภูมิภาคอาเซียน เซ็นทารายังมีแผนการขยายแบรนด์โรงแรมด้วยการเน้นการรับบริหารเพิ่มมากขึ้น อาทิ ที่เวียดนาม ที่ได้เซ็นสัญญารับบริหารโรงแรมไปแล้ว 9 แห่ง รวมห้องพักกว่า 4,900 ห้อง

COSI

สอดรับกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทาราที่บอกว่า นอกจากตลาดในภูมิภาคอาเซียนแล้ว เซ็นทารายังมีแผนจะขยายแบรนด์ในเครือทั้ง 6 แบรนด์ ออกสู่หลากหลายจุดหมายปลายทางทั้งในและต่างประเทศ อาทิ แผนขยายแบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟ และโรงแรมในธีมมิราจ ในประเทศไทย, มัลดีฟส์, ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย รวมถึงแผนการเซ็นสัญญาขยายเครือข่ายพันธมิตรในตลาดสำคัญ ๆ เช่น ในยุโรป แอฟริกา จีน ดูไบ และศรีลังกา

โดยขณะนี้ได้หารือกับพาร์ตเนอร์ที่ร่วมลงทุนโรงแรมเซ็นทารา มิราจ บีช ดูไบ ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่แล้ว 607 ห้อง มีแผนจะขยายห้องพักเพิ่มอีก 200 ห้อง

ทั้งนี้ โครงการที่เป็นไฮไลต์คือ การลงทุนสร้างโรงแรมเพิ่มอีก 2 แห่งในมัลดีฟส์ โดย 1 ใน 2 คือ โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ ที่มีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนปี 2567 นี้