“ทัวร์นอมินี” ทุ่มตลาด ลามหนักจากจีนสู่ “รัสเซีย-อินเดีย”

Nomination Tour

ว่ากันว่า หลังจากที่รัฐบาลจีนประกาศเปิดประเทศเมื่อต้นปี 2566 และอนุญาตให้ “กรุ๊ปทัวร์” สามารถออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้ตั้งแต่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา กระทั่งรัฐบาลไทยประกาศให้ “วีซ่าฟรี” เป็นการถาวรกับนักท่องเที่ยวจีนตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างทั้ง 2 ประเทศ

เพราะเชื่อมั่นว่า “ประเทศไทย” คือจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีน

บริษัททัวร์ คนไทยไม่ได้ประโยชน์

ปี 2562 ก่อนการระบาดของไวรัสโควิด-19 ประเทศไทยเคยได้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวสูงถึง 11 ล้านคน มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยทั้งหมดเกือบ 40 ล้านคน และสร้างรายได้กว่า 5.3 แสนล้านบาท ครองสัดส่วนที่ 27% จากรายได้รวมของตลาดต่างประเทศประมาณ 2 ล้านล้านบาท

แต่ปรากฏว่านับตั้งแต่จีนเปิดประเทศหลังโควิด-19 ผู้ประกอบการบริษัททัวร์คนไทยที่ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตลาดจีนส่วนใหญ่กลับสะท้อนว่า แทบจะไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการทั้งหมดที่รัฐบาลทยอยออกมาเลย

“ทุนจีน” ทุ่มตลาดหนัก

“ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร” นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ให้ข้อมูลว่า นับตั้งแต่รัฐบาลจีนเปิดประเทศให้กรุ๊ปทัวร์ออกมาเที่ยวได้ พบว่ามีบริษัททัวร์ที่เป็นทุนจีนเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยจำนวนมาก และทำตลาดแบบผูกขาด ขายแพ็กเกจทัวร์เที่ยวประเทศไทยในราคาต่ำ โดยไม่คำนึงถึงต้นทุน หรือกำไร-ขาดทุน

Advertisment

เมื่อนำมาเที่ยวประเทศไทยก็บังคับให้ซื้อสินค้าจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 70,000 บาทต่อคน เพื่อหวังกำไรจากการซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวมาหักลบต้นทุน โดยมีบริษัทคนไทยเป็นนอมินี รู้เห็นเป็นใจให้บริษัททัวร์จีนเหล่านั้นสามารถทำธุรกิจในเมืองไทยโดยไม่ผิดกฎหมาย

โอดทั้งชีวิตไม่เคยเจอ

“ศิษฎิวัชร” ย้ำว่า ตอนนี้กรุ๊ปทัวร์จีนที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นทัวร์ราคาต่ำแบบนี้แทบทั้งนั้น ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ของการขายแพ็กเกจทัวร์จีน ซึ่งในชีวิตการทำธุรกิจของตัวเองก็ยังไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน

โดยรูปแบบการทำธุรกิจดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทยเป็นอย่างมาก เพราะไปสร้างการจดจำให้กับนักท่องเที่ยวจีน ว่าประเทศไทยเป็นเดสติเนชั่นราคาถูก ไม่สามารถขยับฐานสู่ท่องเที่ยวคุณภาพได้

ที่สำคัญยังทำให้ระบบของการตลาดทัวร์จีนพังทั้งระบบ เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่เฉพาะในเครือข่ายของกลุ่มทุนจีน ขายเอง ทำทัวร์เอง แล้วเก็บเงินกลับประเทศ

Advertisment

ปัญหาใหญ่คือ บริษัททัวร์คนไทยที่ทำตลาดจีนอยู่กันไม่ได้ ไม่มีทัวร์ทำ ยกเว้นบางรายที่ปรับตัวโฟกัสตลาดกลุ่มประชุมสัมมนา (ไมซ์) หรือกลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล

หนักว่า “ศูนย์เหรียญ-คิกแบ็ก”

“ศิษฎิวัชร” บอกว่า ส่วนตัวไม่รู้ว่าจะให้คำจำกัดความรูปแบบการทำธุรกิจแบบนี้ว่าอย่างไรดี เพราะรูปแบบหนักยิ่งกว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” และเป็นมากกว่า “ทัวร์คิกแบ็ก” หรือทัวร์ซื้อหัว แต่รูปแบบใหม่นี้ขายกันแบบไม่ต้องสนใจต้นทุน ไม่สนใจว่าจะขาดทุน ยอมเสี่ยง กรุ๊ปนี้ขาดทุนก็ขายกรุ๊ปใหม่เข้ามาถอนทุนคืน

เรียกว่า “ทุ่มตลาด” ให้คู่แข่งที่เป็นบริษัทคนไทยตายก่อน หลังจากคู่แข่งน้อยเขาก็จะค่อย ๆ ปรับราคาขายขึ้นและผูกขาดต่อไป

โดยที่ผ่านมาสมาคม ATTA ได้รายงานประเด็นปัญหานี้กับ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ (เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) รับทราบไปแล้ว ทั้งการเข้ามาของทุนต่างชาติที่ทำให้เกิดการทุบราคาตลาดแบบไม่สมเหตุสมผล จนกระทบผู้ประกอบการไทย และส่งผลเชิงลบต่อภาพท่องเที่ยวไทย

วอนรัฐแก้ปัญหาด่วนใน 1 ปี

ทั้งนี้ ตนในฐานะที่เป็นนายกสมาคม ATTA และเป็นผู้ประกอบการบริษัททัวร์ตลาดจีนด้วยอยากเสนอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยดูแลและแก้ปัญหาโดยเร่งด่วน กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนกรณีผู้ประกอบการที่ขายต่ำกว่าราคาที่กำหนด

หากไม่รีบดำเนินการแก้ไข ปราบปราม ภาพรวมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเสียหายหนักแน่นอน นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาภายใน 1 ปี ผู้ประกอบการคนไทยตายหมดแน่นอน

Nomination Tour

ลามสู่ตลาด “รัสเซีย-อินเดีย”

“ศิษฎิวัชร” ยังบอกอีกว่า นอกจากปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นกับตลาดทัวร์จีนแล้ว ปัจจุบันการทำทัวร์ในลักษณะดังกล่าวได้ลามไปถึงตลาดรัสเซียและอินเดียแล้วเช่นกัน โดยบริษัททัวร์ของประเทศต้นทางได้เข้ามาทำตลาดเองและทุบราคากันชัดเจนขึ้นแล้ว

โดยปัจจุบันตลาดรัสเซียและอินเดียนั้น ส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่แถบจังหวัดภูเก็ต พัทยา เป็นหลัก ซึ่งหากภาครัฐไม่เข้ามาดูแล เชื่อว่าจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการคนไทยที่ทำตลาดรัสเซียและอินเดียเช่นเดียวกับตลาดจีนแน่นอน

ยันเป็นขบวนการ “ทัวร์อั้งยี่”

ขณะที่ “สุรวัช อัครวรมาศ” รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ไว้เมื่อกลางปี 2566 ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหนักมากตั้งแต่จีนเริ่มเปิดประเทศเมื่อต้นปี 2566 แล้ว โดยผู้ประกอบการทัวร์เหล่านี้เป็นบริษัททัวร์จากจีนไม่ใช่บริษัทคนไทย

และนอกจากขายแพ็กเกจทัวร์เข้ามาเองแล้ว ยังนำมัคคุเทศก์ (ไกด์) เข้ามาเอง ร้านขายสินค้าต่าง ๆ ที่พานักท่องเที่ยวไปช็อปปิ้งก็เริ่มทำเอง ขายสินค้าแบบบริการส่งถึงบ้าน โดยใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยเป็นตัวโชว์ ส่วนที่ส่งให้นักท่องเที่ยวเป็นสินค้าที่ผลิตในจีนแทน

“ก่อนโควิดเราคุ้นเคยกับรูปแบบที่เรียกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งเป็นทัวร์ที่ไม่มีค่าทัวร์ หรือไปซื้อหัวนักท่องเที่ยวมา เป็นการขายที่ต่ำกว่าราคาทุน แล้วใช้วิธีการหารายได้จากการพานักท่องเที่ยวไปช็อปปิ้งมาชดเชย แต่ยังมีผู้ประกอบการในไทยบางส่วนที่อยู่ในซัพพลายเชน เช่น ไกด์ รถ เรือ โรงแรม ได้ประโยชน์บ้าง ทำให้หลายคนยังคิดว่าทัวร์ศูนย์เหรียญไม่มีปัญหา เพราะยังมีคนได้ประโยชน์”

สำหรับปรากฏการณ์นี้รุนแรงมาก เพราะเป็นการกินรวบทั้งระบบ ขายถูกมาก ๆ นำไกด์เข้ามาเอง จ้างคนไทยเป็นแค่ Sitting Guide กันถูกจับ ผลิตสินค้าขายเองลงทุนในกิจกรรมการท่องเที่ยว ฯลฯ บริษัททัวร์คนไทยล้มตายไปจำนวนมาก เพราะไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้

พร้อมทั้งให้คำจำกัดความปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า “ทัวร์อั้งยี่” เพราะทำกันเป็นขบวนการ ผิดกฎหมายไทยตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่จัดการจะกลายเป็นระบบมาเฟีย เป็นปัญหาเรื่องความมั่นคงในประเทศไทยแน่นอน

“มันหนักกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ และไม่ใช่ทัวร์ซื้อหัว หรือ Kick Back Tour”

ที่สำคัญ ไม่เพียงแค่ตลาดจีน รัสเซีย อินเดียเท่านั้น ตลาดเวียดนามก็เริ่มมีการทำตลาดในลักษณะการทุ่มตลาดแบบนี้เช่นกัน

“วีซ่าฟรี” หนุนธุรกิจสีเทา

แหล่งข่าวในวงการทัวร์จีนรายหนึ่งบอกกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ก่อนหน้านี้กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แก้ปัญหาด้วยการให้บริษัททัวร์สัญชาติไทยที่ทำธุรกิจคู่ค้ากับจีนเข้าไปลงทะเบียนในระบบ ซึ่งกรมการท่องเที่ยวได้ส่งรายชื่อบริษัทที่เข้ามาลงทะเบียนไปกงสุลไทยในจีน หากพบว่า
บริษัทที่ไม่อยู่ในรายชื่อบริษัทที่เข้ามาลงทะเบียนทำธุรกิจคู่ค้ากับจีน สถานทูตจีนจะตรวจประวัติย้อนหลังอย่างเข้มข้น

หรือหากพบว่ามีความผิดปกติ เช่น แพ็กเกจทัวร์มีราคาต่ำกว่าทุนก็จะส่งข้อมูลกลับไทยพิจารณาอีกครั้ง หรือหากคู่ค้าเป็นคนไทยถูกต้องไม่ใช่นอมินี ก็จะพิจารณาออกวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีนที่มากับบริษัททัวร์นั้น ๆ ได้

พร้อมทั้งยังได้หารือกับสถานทูตจีนในประเทศไทยด้วย ว่าถ้าบริษัทจีนทำความเสียหายกับไทย เช่น ทิ้งทัวร์ ใช้ไกด์จีน และใช้บริษัทนอมินี ให้ส่งผู้กระทำผิดให้ด้วย รัฐบาลจีนจะใช้กฎหมายฝั่งจีนลงโทษ เพราะคนเหล่านี้กลัวกฎหมายจีนมากกว่า

แต่สุดท้ายรัฐบาลไทยประกาศให้ “วีซ่าฟรี” กับนักท่องเที่ยวจีนเป็นการถาวร ด้วยหวังว่าจะกระตุ้นให้คนจีนกลับมาเที่ยวประเทศไทยจำนวนมากเหมือนในอดีต มาตรการตรวจสอบดังกล่าวจึงไม่สามารถควบคุมได้ และทำให้ต้นทุนการมาเที่ยวของคนจีนถูกลงและสะดวกสบายมากขึ้น

ปัญหาการทำทัวร์ในลักษณะนี้จึงวนกลับมาอีก และหนักขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากในช่วง 3-4 ปีที่เกิดวิกฤตโควิดนั้น มีชาวจีนจำนวนมากอาศัยในประเทศไทยและลงทุนจนมีคอนเน็กชั่น และสามารถทำธุรกิจ “สีเทา” ได้เนียนมากขึ้น