คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลโดยผ่อนปรนเงื่อนไขการครอบครองอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนต่างชาติถือเป็น “เรื่องร้อน” เรื่องหนึ่งในทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็นการขยายระยะเวลาการเช่าที่ดินจาก 30 ปี เป็น 99 ปี
หรือการขยายสัดส่วนต่างชาติถือกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมจาก 49% เป็น 75%
- หวยออกงวด 1 ก.ค. ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล-สถิติหวยย้อนหลัง 10 ปี
- หวยออกงวด 1 ก.ค. 67 ถ่ายทอดสด ตรวจผลรางวัล ผลสลากกินแบ่งฯ วันนี้
- ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ตรวจผลรางวัล งวด 1 ก.ค. 2567
ถามว่าทำไมถึงเลือกใช้มาตรการนี้ ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นเรื่องที่อ่อนไหวทางการเมือง
คำตอบง่าย ๆ ก็คือเป็นมาตรการที่ง่ายที่สุดในการเพิ่ม “กำลังซื้อ” อสังหาริมทรัพย์ ที่นับวันจะเหือดแห้งลงทุกที
ไม่ใช่เพราะคนไทยไม่ต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดฯ
ดีมานด์หรือความต้องการนั้นสูงมาก
แต่ติดเงื่อนไขสำคัญคือแบงก์ไม่ปล่อยกู้ หรือยื่นกู้แล้วไม่ผ่าน
เพราะคนกู้ส่วนใหญ่มีภาระหนี้ครัวเรือน
อยากจะซื้อบ้านก็ต้องกู้แบงก์
แต่เจอดอกเบี้ยสูง อัตราการผ่อนต่อเดือนก็สูงขึ้น
สัดส่วนหนี้ที่เพิ่มขึ้นทำให้กู้แบงก์ไม่ผ่าน
รัฐบาลชนกับแบงก์ชาติมาตลอดเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่รัฐบาลอยากให้ลดลง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ตัวเลขผลประกอบการของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯตอนสิ้นปีที่แล้วยังดีอยู่
แต่ไตรมาสแรกกำไรลดวูบเลยครับ
คาดว่าไตรมาสสองก็น่าจะไม่แตกต่างกัน
ถ้าปล่อยไปเรื่อย ๆ อาการน่าจะหนัก
นั่นคือ เหตุผลที่รัฐบาลต้องลงมาช่วย
แต่ก็มีคนแย้งว่า ธุรกิจอื่นก็ย่ำแย่เหมือนกัน หนักหนาสาหัสกว่าอีก ทำไมรัฐบาลไม่ช่วย
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพิ่งมีปัญหากำไรลดลงแค่ไตรมาสเดียวเอง
แบบนี้เลือกปฏิบัติหรือเปล่า
ในทางการเมือง คุณเศรษฐา ทวีสิน ที่เคยบริหาร “แสนสิริ” มา ก็คงต้องโดนโจมตีอย่างแน่นอน
แต่การช่วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของต่างชาติ คือ การเพิ่มดีมานด์ในตลาด
เพราะประเทศไทยเป็นสวรรค์ของคนหลายประเทศ
โดยเฉพาะจีน รัสเซีย เมียนมา ฯลฯ
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ถ้ามาตรการนี้เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ ความรู้สึกของสังคมก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
แต่วันนี้ภาคธุรกิจและกระแสสังคมเริ่มกลัวการรุกคืบของ “ทุนจีน”
การผ่อนปรนแบบนี้จะยิ่งเปิดทางให้จีนเข้ามาครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือที่ดินในเมืองไทยได้ง่ายขึ้น
ขนาดยังไม่แก้กฎหมาย ก็ยังใช้ “นอมินี” เข้ามาครอบครองเต็มไปหมด
ถ้าเป็นประเทศอื่นยังไม่น่าห่วงเท่ากับจีน
เพราะวิธีคิดในการทำธุรกิจของจีนนั้นแตกต่างจากญี่ปุ่น หรือประเทศแถบยุโรป ที่เราคุ้นเคย
ประเทศอื่นเขากินแบ่ง
แต่ทุนจีนนั้นทำธุรกิจครบวงจร กินรวบตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ
อย่างที่เมืองจันท์ ตอนนี้ล้งจีนเต็มไปหมด
และมีบางคนเริ่มรุกสู่ “ต้นน้ำ” ด้วยการซื้อสวนทุเรียนผ่านนอมินี
ถ้ารัฐบาลเปิดกว้างให้เช่าที่ดิน 99 ปีได้
รับรองสวนทุเรียนเปลี่ยนมือแน่
หรืออย่างทัวร์จีนก็เช่นกัน
ผมเคยหลงเข้าไปโรงแรมขนาดใหญ่ที่รับนักท่องเที่ยวจีนแถวลาดกระบังครั้งหนึ่ง
จะแวบไปเขียนต้นฉบับในล็อบบี้โรงแรม
เดินเข้าไป พนักงานตกใจเลย เพราะไม่คิดว่าจะมีลูกค้าวอล์กอินเข้ามา
ทุกคนพูดภาษาจีน มีบางคนพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย
โรงแรมนี้เป็นของทุนจีนครับ
ไม่แปลกที่สมาคมโรงแรมจะออกมาคัดค้านเรื่องสัดส่วนต่างชาติที่จะขยายจาก 49% เป็น 75%
เพราะเขากลัวว่าจีนจะมาซื้อทั้งตึกและปล่อยเช่านักท่องเที่ยวแข่งกับโรงแรม
ถามว่าเป็นไปได้ไหม
ตอบได้เลยครับว่า เป็นไปได้
หรือธุรกิจรถยนต์อีวีก็เช่นกัน มีคนในแวดวงบอกว่า อะไรที่ขนมาจากเมืองจีนได้ เขาขนมา
ป้ายหน้าโชว์รูมของบางค่ายยังสั่งทำจากเมืองจีนเลยครับ
ไม่แปลกที่กระแสกลัวทุนจีนตอนนี้เริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ครับ ถ้ามาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของต่างชาติเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
ในวันที่กระแสกลัวทุนจีนไม่แรงขนาดนี้
คนคงคัดค้านไม่มากนัก
แต่เมื่อบริบทเปลี่ยนไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนตาม
ถ้ารัฐบาลจะทำจริง ๆ ก็ตั้งรับดี ๆ นะครับ