คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : อิศรินทร์ หนูเมือง
มวลชนเสื้อแดงนับหมื่นชุมนุมมากที่สุด ตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตร กลับเมืองไทย ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี
น่าจะเป็นครั้งแรกที่ทักษิณกล่าวต่อหน้ามวลชน แบบมั่นใจที่สุดในภาษาการเมือง ด้วยการเปิดฉากปราศรัยในเวทีงานฉลองพิธีอุปสมบทของสมาชิกพรรคคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย
- คลังเล็งประกาศลงทะเบียน แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน ทางรัฐ ก.ค.นี้
- ราชกิจจาฯ ประกาศพระราชกฤษฎีกา เหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ให้ประชาชนมีสิทธิประดับเหรียญได้
- 10 อันดับมหาวิทยาลัยไทย ที่โดดเด่นด้านทันตแพทย์ ปี 2567
“วันนี้ผมกลับมาแล้ว พี่น้องชาวเสื้อแดงก็ต้องกลับมาอยู่ด้วยกันนะครับ… บางครั้งผมก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าผมจะได้กลับมา และการกลับมาครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผมเป็นหนี้บุญคุณหลายท่าน โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยลืมผม และไม่ว่าจะเลือกตั้งกี่ครั้งก็ไม่เคยลืม”
“ผมคิดว่าผมจะตอบแทนบุญคุณพี่น้อง ประชาชนไทย ประเทศไทย และพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างไร เพราะถือว่าชีวิตที่เหลืออยู่เป็นกำไรชีวิต ก็อยากจะทำให้เป็นประโยชน์ของพี่น้องประชาชน บ้านเมือง และสถาบันให้มากที่สุด”
ทักษิณปราศรัยเปิดใจว่า “ผมไปอยู่เมืองนอก 17 ปี โดนยัดข้อหาทุกอย่าง โดนทุกรูปแบบ ถ้าผมไม่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าผมก็คงตรอมใจ หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย ผมว่าไม่มีใครโดนมากเท่าผม และล่าสุดก็ยังมีควันหลงอยู่”
ควันหลง-ที่ทักษิณไม่ได้เอ่ยถึงบนเวที น่าจะเป็นคดีที่เขาต้องไปรายงานตัวต่ออัยการ ในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม-มั่นใจว่าจะเดินทางไปด้วยตัวเองอย่างแน่นอน “ไม่เห็นมีอะไรเลยคดีนี้ และคดีนี้จะเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่าตอนปฏิวัติยัดข้อหาอย่างไร คดีนี้เป็นคดีที่ไม่มีมูลเลยแม้แต่นิดเดียว และพยายามที่จะนำไปตีความเพื่อให้มันมีมูล”
วาทกรรมผลไม้ของต้นไม้พิษ ถูกหยิบยกมากล่าวอีกครั้ง ในคดีที่เขากำลังต่อสู้
และเป็นครั้งแรกที่ทักษิณเปิดหน้าเอ่ยถึงพื้นที่ทางการเมือง ว่าหากจะมีความวุ่นวาย ก็น่าจะมาจาก “แถวบ้านในป่า” และย้ำว่าคดีที่กำลังต่อสู้ครั้งนี้ “ไม่มีดีลกับใครเลย”
ทักษิณวิเคราะห์คาดการณ์ทำนายผลคดีคุณสมบัติรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีด้วยว่า “ไม่น่าจะมีผลอะไร เพราะรัฐบาลน่าจะตอบได้…กฎหมายโดยหลักการต้องดูว่า หากมีเจตนาไม่บริสุทธิ์จึงจะต้องถูกลงโทษ แต่หากมีเจตนาบริสุทธิ์โดยหลักกฎหมายแล้วก็ไม่มีปัญหา”
ทักษิณเปิดให้เห็นเบื้องหลัง 40 สว.ที่เป็นต้นเรื่อง ปมคุณสมบัติรัฐมนตรี ที่คาศาลรัฐธรรมนูญว่า “ต้องดูตั้งแต่เริ่มต้นว่า 40 คนนี้เป็นคนของใคร และเคลื่อนไหวเพื่ออะไร”
เขาหวังว่ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าทางการเมืองได้อย่างราบรื่น “ในฐานะที่ผมมีลูกสาวเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศของเราเจริญรุ่งเรืองต่อไป เพื่อให้พี่น้องคนไทยทำมาหากินได้อย่างมีความสุขเหมือนตอนที่ผมทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี”
หลังจากได้รับการพักโทษ ทักษิณเดินทางไปพบปะมวลชนหลายจังหวัด และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมอ เฉพาะอย่างยิ่งเชียงใหม่-บ้านเกิด ที่มีการชุมนุมเครือญาติ “ชินวัตร” และมีนายกรัฐมนตรี-อดีตนายกรัฐมนตรีไปรวมตัวกัน 3 คน คับคั่งไปด้วยนักการเมืองรุ่นใหญ่
การต่อสู้ทางการเมืองกับคดีเก่า ไม่ได้มีเพียงทักษิณเท่านั้น แต่ยังมีคดีใหญ่ของพรรคก้าวไกลที่ระทึกในศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก็ออกมาเปิดหน้า-เปิดไพ่ในการต่อสู้คดียุบพรรคไว้ 9 ข้อ ประกอบด้วย
1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดี
2.กระบวนการยื่นคำร้อง กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3.คำวินิจฉัยของคดีเมื่อ 31 ม.ค. 67 ไม่ผูกพันต่อคดีนี้
4.การกระทำที่ถูกกล่าวหาไม่เป็นการล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์
5.การกระทำตามคำวินิจฉัย เมื่อ 31 ม.ค. 67 ไม่ได้เป็นมติของพรรค
6.โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็นฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีทางอื่นแก้ไขในระบอบประชาธิปไตย
7.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค
8.จำนวนปีในการตัดสิทธิทางการเมืองต้องได้สัดส่วนกับความผิด
9.การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา
ข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกล ที่พิธาตอกย้ำคือขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ที่พรรคศึกษาแนวทางไว้ว่า ตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจยุบพรรคและตัดสิทธิการเมือง
การปรากฏตัว-ปราศรัยของทักษิณครั้งล่าสุด และการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของพรรคก้าวไกล นับเป็นจังหวะก้าวทางการเมือง ตอกย้ำว่า 2 พรรคที่อยู่คนละขั้ว แต่การต่อสู้กับคู่ขัดแย้งไม่ได้อยู่คนละฝ่าย