สัมภาษณ์
วันนี้แม้ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังจะยังไม่กลับไปเติบโตเทียบเท่าเมื่อช่วงปลายปี 2562 ก่อนหน้าสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งช่วงนั้นตลาดรวมมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท แต่ล่าสุดตลาดก็กำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับคืนทีละน้อย ๆ มูลค่าตลาดรวมคาดน่าจะขยับขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.4-2.5 หมื่นล้านบาท
ที่น่าสนใจอีกมุมหนึ่งก็คือ ที่ผ่านมา แม้ว่าต้นทุนการดำเนินงานและวัตถุดิบต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้เครื่องดื่มชูกำลังก็ยังราคาขายเพียงขวดละ 10 บาท เรียกได้ว่าแทบไม่มีกำไร ซึ่งคนในวงการต่างก็ยอมรับว่าตลาดนี้มีการแข่งขันสูง และยังมีแบรนด์ใหม่ ๆ กระโดดเข้ามาร่วมวงเป็นระยะ ๆ
- คลังเล็งประกาศลงทะเบียน แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน ทางรัฐ ก.ค.นี้
- สภาออกประกาศ เพิ่มเงินประจำตำแหน่งข้าราชการ 7 สายงาน
- ราชกิจจาฯ ประกาศพระราชกฤษฎีกา เหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ให้ประชาชนมีสิทธิประดับเหรียญได้
กระทิงแดงมั่นใจชูกำลังโตได้อีก
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ “สราวุฒิ อยู่วิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP หรือ ที.ซี.ฟาร์มาซูติคอล อุตสาหกรรม ผู้ผลิตเครื่องดื่มกระทิงแดง สปอนเซอร์ ฯลฯ ในงานเปิดตัวพิพิธภัณฑ์ TCP Legacy Museum ถึงแนวโน้มตลาดชูกำลังไทย และทิศทางของ TCP ที่จะสร้างการเติบโตท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆในตลาด
“สราวุฒิ” กล่าวว่า ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง หรือเอเนอร์จี้ดริงก์ของไทย ยังมีโอกาสเติบโตต่อได้อีกในอนาคต หากสามารถแก้โจทย์ทั้งเก่าและใหม่ที่เป็นความท้าทายของตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนพุ่งสูง หลังปี 2566 ต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 10% จากราคาน้ำตาล, เพดานราคา 10 บาท/ขวด, สภาพเศรษฐกิจที่กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค, การแข่งขันราคาดุเดือด และอัตราการบริโภคที่ยังต่ำเพียง 1-1.5 ขวด/คน/วัน ตามสถิติของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ทั้งนี้ เนื่องจากผู้บริโภคยังต้องการเครื่องดื่มให้พลังงาน เห็นได้จากการเติบโต 4-5% ในไตรมาสแรก เพียงแต่แบรนด์ต้องก้าวข้ามกรอบเครื่องดื่มชูกำลังราคา 10 บาท แบบเดิมให้ได้ สะท้อนจากการเติบโต 10-20% ของเครื่องดื่มชูกำลังพรีเมี่ยมราคาสูงกว่า 12 บาทในไทย เทรนด์โพสโชว์การดื่มเครื่องดื่มชูกำลังบนโซเชียล และรายได้จากต่างประเทศอย่าง เวียดนาม จีน ฯลฯ ที่เติบโตและแทบไม่มีการแข่งขันราคา จากเทรนด์การดื่มเครื่องดื่มชูกำลังในหลายโอกาส เช่น งานสังสรรค์ คอนเสิร์ต ดื่มเพื่อความสดชื่น ฯลฯ ทำให้การบริโภคสูงกว่าไทย รวมถึงจำหน่ายได้หลายระดับราคา
อย่างไรก็ตาม เพื่อแก้โจทย์ความท้าทายเหล่านี้ บริษัทจะเดินหน้าใน 3 ด้านหลัก คือ ปลดล็อกตลาดชูกำลังของไทยจากเพดานราคา 10 บาท ซึ่งเป็นกระบวนการระยะยาวที่ต้องใช้เวลาปรับความเข้าใจที่อยู่ในใจคนไทยมาหลายสิบปี ขณะเดียวกันก็จะต้องรับมือความท้าทายปัจจุบันอย่างต้นทุนวัตถุดิบ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มศักยภาพการผลิตลดการสูญเสีย และสร้างรายได้เพิ่มจากตลาดต่างประเทศไปพร้อมกัน
โดยการปลดล็อกเพดานราคา 10 บาทนั้น แม่ทัพ TCP ระบุว่า จะเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ แตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ ของผู้บริโภค เช่น สูตรอัดแก๊สให้มีความซ่าแบบน้ำอัดลม สูตรไร้น้ำตาลรับเทรนด์สุขภาพ รสชาติใหม่ ๆ รวมถึงเปลี่ยนแพ็กเกจเป็นกระป๋อง และอื่น ๆ เพื่อให้ต่างจากภาพลักษณ์ขวดแก้ว และเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ๆ ได้
ทั้งนี้ เชื่อว่าเพดานราคา 10 บาท นั้นไม่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาเงินทอนแล้ว เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคและร้านค้าต่างใช้การชำระเงินด้วย QR Code จึงเชื่อว่าการตั้งราคาเครื่องดื่มชูกำลังด้วยตัวเลขอื่นสามารถเป็นไปได้ หากสามารถสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคได้
พร้อมกับให้ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องดื่มชูกำลัง เช่น ปริมาณกาเฟอีน/ขวด ที่น้อยกว่ากาแฟ 1 แก้ว สอดแทรกไปกับแคมเปญต่าง ๆ และล่าสุดเปิดตัว TCP Legacy Museum พิพิธภัณฑ์รวมประวัติศาสตร์ของ TCP และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเครื่องดื่มชูกำลัง ผ่านการนำเสนอแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดปราจีนบุรี ไปพร้อมกันด้วย โดยตั้งอยู่ที่โรงงาน บริษัท ที.ซี.ฟาร์มาซูติคอล อุตสาหกรรม จำกัด ต.บางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี
เพิ่มดีกรีบุกต่างประเทศ
ด้านการสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศนั้น จะผลักดันแบรนด์สินค้าในพอร์ตโฟลิโอออกไปทำตลาดในต่างประเทศ เช่น สปอนเซอร์ ที่จะเพิ่มจำนวนประเทศและสินค้าใหม่ ๆ หลังเริ่มรุกเมียนมาและลาวไปแล้ว หรือส่งแบรนด์ วอริเออร์ ที่เดิมทำตลาดในเวียดนาม ไปบุกมาเลเซียด้วย เป็นต้น โดยจะผลักดันแบรนด์อื่น ๆ ตามออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพ เช่น เวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซีย และจีน
ส่วนแบรนด์กระทิงแดง-เรดบูล จะขยายโรงงานในจีนตามแผนเดิมที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานแห่งที่ 2 ในมณฑลเสฉวน ที่จะเปิดเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะมีกำลังผลิตรวม 1.44 พันล้านกระป๋อง/ปี และโรงงานใหม่ที่มณฑลกว่างสี คาดว่าจะเปิดปี 2568
สำหรับการรับมือต้นทุนวัตถุดิบ พลังงาน และค่าแรง จะนำเทคโนโลยีอย่าง Smart Manufacturing เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเสียลง โดยปัจจุบันเริ่มใช้ในโรงงานหมายเลข 6 ที่จังหวัดปราจีนบุรี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพจาก 90% เป็น 95% ด้วยพนักงาน 6 คน/ไลน์ผลิต/กะ ซึ่งจะขยายครบทั้ง 5 ไลน์ผลิตในสิ้นปี 2567 นี้ ร่วมกับการลดแพ็กเกจจิ้งที่เป็นอีกหนึ่งต้นทุนหลักลง เช่น ลดขนาดฝา และขนาดฉลาก เช่นเดียวกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์โดยปัจจุบันการติดตั้งในโรงงานทุกแห่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 25% ของความต้องการ หลังจากนี้จะขยายการติดตั้งไปยังอาคารโกดังสินค้าด้วย
ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะไม่ลดคุณภาพของสินค้าลงอย่างเด็ดขาด รวมถึงยังคงนโยบายจ้างงานชาวไทย 100% แม้จะมีอัตราค่าจ้างสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่ 550 บาท สำหรับฝ่ายผลิต ตามแนวทางที่ “เฉลียว อยู่วิทยา” ผู้ก่อตั้ง TCP ได้วางเอาไว้ว่า ผู้บริโภคต้องได้คุณภาพเต็มที่ และการเป็นโรงงานไทยต้องให้โอกาสกับคนไทยก่อนแม้ต้นทุนจะสูงกว่าก็ตาม
“สราวุฒิ” ทิ้งท้ายว่า ปี 2567 นี้ บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตแบบท้าทายที่ดับเบิลดิจิตระดับบน หลังไตรมาส 1 สามารถเติบโตประมาณ 6-7% ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2566 แต่ยังต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ ส่วนตลาดต่างประเทศอย่าง เวียดนาม จีน กัมพูชา เริ่มฟื้นตัว โดยหลังจากนี้ต้องจับตาสภาพเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังที่จะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคไทย และสถานการณ์ในต่างประเทศ