มูลค่าอีคอมเมิร์ซไทย ปี’66 พุ่งแตะ 5.96 ล้านล้านบาท

ETDA เผยผลสำรวจมูลค่าอีคอมเมิร์ซไทย ปี’66 พุ่งแตะ 5.96 ล้านล้านบาท อุตสาหกรรมประกันภัย โตมากสุด ร้อยละ 31 ผู้ประกอบการสนใจเทคโนโลยี Affiliate Marketing ขณะที่การใช้งานปัญญาประดิษฐ์พบว่า ร้อยละ 29 เริ่มประยุกต์ใช้บ้างแล้ว  

วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 นายชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA (เอ็ตด้า) เปิดเผยว่า รายงานผลการสำรวจ หรือ Value of e-Commerce Survey in Thailand จัดทำขึ้น เพื่อให้ประเทศมีข้อมูลสะท้อนสถานภาพและทิศทางการพัฒนาอีคอมเมิร์ซของประเทศ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ที่นำไปเป็นฐานข้อมูลประกอบการวางแผนธุรกิจ กำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด

รวมถึงเพื่อให้ภาครัฐ นำไปเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาทิศทางการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการได้สอดคล้องกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การสำรวจมูลค่าอีคอมเมิร์ซจากกลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศ ได้สำรวจจาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต, อุตสาหกรรมการค้าปลีกและการค้าส่ง, อุตสาหกรรมการขนส่ง, อุตสาหกรรมการให้บริการที่พัก, อุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร, อุตสาหกรรมการประกันภัย, อุตสาหกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ และอุตสาหกรรมการบริการด้านอื่น ๆ รวมกว่า 3,440 ราย

ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา พบว่า จากข้อมูลในปี 2565 ประเทศไทยมีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ อยู่ที่ 5.43 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ปี 2564 ที่มีมูลค่า 5.17 ล้านล้านบาท ถึงร้อยละ 5.05 ประกอบด้วยสัดส่วนมูลค่าอีคอมเมิร์ซแบบ B2C มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 51.7  รองลงมาคือ B2B ร้อยละ 37.8 และ B2G ร้อยละ 10.5 ตามลำดับ

Advertisment

เมื่อพิจารณามูลค่าอีคอมเมิร์ซรวมจำแนกรายอุตสาหกรรม พบว่า อุตสาหกรรมการค้าปลีกและค้าส่ง ยังคงครองแชมป์มีมูลรวมมากที่สุด อยู่ที่ 2.83 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการค้าปลีก 1.53 ล้านล้านบาท และ อุตสาหกรรมการค้าส่ง 1.30 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการผลิต 6.99 แสนล้านบาท อุตสาหกรรมการขนส่ง 5.52 แสนล้านบาท อุตสาหกรรมการให้บริการที่พักและอาหาร 4.28 แสนล้านบาท และอุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 2.99 แสนล้านบาท

โดยช่องทางการขายออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดหนีไม่พ้น e-Marketplaces อยู่ร้อยละ 24.58 (อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการขายผ่านช่องทางดังกล่าวมากที่สุด ได้แก่ การค้าปลีกและค้าส่ง รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิต และบริการที่พักและอาหาร ตามลำดับ) รองลงมาคือ การขายผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของกิจการเอง ร้อยละ 23.60 และ Social Commerce (มากสุดคือ Facebook รองลงมาคือ TikTok และ Instagram) ร้อยละ 22.25

ประเภทของช่องทางการชำระเงินที่ถูกเลือกใช้งานมากที่สุด คือ Mobile/Internet Banking สัดส่วนร้อยละ 68.12 ของช่องทางทั้งหมด รองลงมาคือ เก็บเงินปลายทาง ร้อยละ 7.92 เพราะตอบโจทย์ผู้บริโภครายได้น้อยและต้องการตรวจสอบสินค้าก่อนชำระเงิน และสั่งจ่ายผ่านเช็ค ร้อยละ 6.93 โดยนิยมมากในกลุ่มธุรกิจด้วยกัน

ขณะที่ ช่องทางการขนส่งสินค้า พบว่า SMEs นิยมใช้มากสุดคือ ธุรกิจขนส่งสินค้าในประเทศร้อยละ 41 เนื่องจากความเร็วในการจัดส่งสินค้าและต้นทุนต่ำจึงเลือกใช้ช่องทางนี้มากที่สุด รองลงมา ไปรษณีย์ไทย ร้อยละ 32 เนื่องจากให้บริการครอบคลุมพื้นที่ขนส่งครอบคลุมทั่วประเทศไทยและมีความปลอดภัยสูง ในขณะที่ธุรกิจระดับ Enterprises นิยมเลือกใช้ บริษัทจัดส่งสินค้าด้วยตนเองร้อยละ 63 เนื่องจากต้องการควบคุมเวลาและคุณภาพของสินค้าในการส่ง รองลงมาคือ บริษัทจัดส่งสินค้าในประเทศร้อยละ 38 ตามลำดับ

Advertisment

อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า มูลค่าอีคอมเมิร์ซของไทยจะพุ่งสูงต่อเนื่อง โดยปี 2566 จะแตะถึง 5.96 ล้านล้านบาท

โดยอุตสาหกรรมที่จะมาแรง และมีมูลค่าอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นมากที่สุดที่น่าจับตา คือ อุตสาหกรรมการประกันภัย ที่จะมีมูลค่าเพิ่มสูงถึงร้อยละ 31 รองลงมา อุตสาหกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ ร้อยละ 24 และอุตสาหกรรมการค้าปลีกและค้าส่ง ร้อยละ 13 ตามลำดับ

ปัจจัยภายในที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าส่งผลต่อมูลค่าอีคอมเมิร์ซมากที่สุด ได้แก่ การสร้าง Customer Experience ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น การเพิ่มช่องทางการให้บริการ การจำหน่าย การชำระเงิน แม้กระทั่งการเลือกขายสินค้าและบริการที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม

ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อมูลค่าอีคอมเมิร์ซมากที่สุด ได้แก่ ภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความสามารถในการซื้อสินค้าออนไลน์ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกและคล่องตัว ในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึง ความพร้อมของใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วและครอบคลุมทุกพื้นที่ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่าง ผู้ประกอบการและผู้บริโภค ผ่านช่องทางออนไลน์

ทั้งนี้การประยุกต์ใช้ Technology ที่น่าสนใจได้แก่ Affiliate Marketing หรือ การตลาดออนไลน์ที่มีตัวแทนในการช่วยขายสินค้าหรือบริการ และจ่ายค่าตอบแทนในรูปแบบ Commission เป็นสาเหตุหลักที่ช่วยผู้ประกอบการในการเพิ่มยอดขายมากถึงร้อยละ 50

โดยมีผู้ประกอบการที่ตอบแบบสอบถามเพียงร้อยละ 18 เท่านั้นที่กำลังใช้ Affiliate Marketing ขณะที่ ร้อยละ 36 สนใจที่จะทำ Affiliate Marketing

นอกจากนี้ ยังพบว่า มีผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในธุรกิจ ร้อยละ 29 ส่วนอีกร้อยละ 71 ยังไม่ใช้ เนื่องจาก ขาดแคลนทรัพยากรที่มีความรู้ความสามารถในการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ มีความไม่มั่นใจว่าจะนำปัญญาประดิษฐ์ไปปรับใช้กับส่วนใดของธุรกิจ และความซับซ้อนความเข้าใจของเทคโนโลยี