นักวิเคราะห์มองเป้า SET สิ้นปี 1,462 จุด คัด 5 หุ้นเด่นน่าลงทุน

หุ้นไทย

นักวิเคราะห์คาดผลประกอบการดี ดอกเบี้ยโลกลด หนุน SET Index สิ้นปี 1,462 จุด แนะเพิ่มน้ำหนักกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก การแพทย์ การท่องเที่ยว ชี้ 5 หุ้นเด่นควรมีติดพอร์ต ADVANC-AOT-CPALL-MINT TU

วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลังของปี 2567 ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

สมมุติฐานหลัก

  • ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ 82.08 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
  • คาดการณ์การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2567 จากเดิมที่ 2.80% (เม.ย. 67) ลดลงมาเหลือ 2.64%
  • Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.78%
  • Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.62%

ปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2567 แบ่งเป็น

  • ปัจจัยบวก นำโดยผลประกอบการของ บจ.ปี’67 มีผู้ตอบแบบสำรวจ 83.33% ปัจจัยรองลงมา 79.17% โหวตให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก 68% และปัจจัยด้านเศรษฐกิจในประเทศ มีผู้ตอบ 62.50% ตามลำดับ
  • ส่วนปัจจัยลบ คือ Fund Flows ต่างประเทศไหลออกจากตลาดหุ้นไทย มีผู้ตอบ 70.83% ของผู้ตอบทั้งหมด รองลงมาคือ ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 69.23% ตามมาด้วยปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ 65.38%

ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2567 มีนักวิเคราะห์ถึง 62.50% ที่คาดว่าจะคงที่ แต่ก็มีผู้ตอบ 29.17% มองว่าปรับลด 0.25% และ 8.33% มองว่าปรับลดลง 0.50% ตามลำดับ

ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยได้ที่ 91.4 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 92.92 บาท ต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 14.31%

ทางด้านคาดการณ์ทิศทางหุ้นไทยในระยะสั้นช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ ส่วนใหญ่คาดว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางบวก โดยจะปิดสิ้นไตรมาส 3 ที่ 1,379 จุด และเมื่อมองตลอดปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1,261 ถึง 1,475 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2567 ที่ 1,462 จุด

Advertisment

นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

  • เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 10.29%
  • กองทุนตราสารหนี้ 21.88%
  • หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 28.58%
  • หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 24.13%
  • ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.81%
  • กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 6.56%
  • สินทรัพย์อื่น ๆ เช่น เงินดิจิทัล Bitcoin 0.75%

โดยความเห็นต่อการลงทุนต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี AI และ Selective Asia เช่น จีน อินเดีย เกาหลี เวียดนาม

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่ม ค้าปลีก การแพทย์และการท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธนาคาร พลังงานและปิโตรเคมี

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้

1. ADVANC มองว่ากำไรเติบโตแข็งแกร่งจากการประหยัดต้นทุนหลังรวมกิจการ จ่ายปันผลดีสม่ำเสมอ

Advertisment

2. AOT ได้แรงหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากพื้นที่ปลอดภาษีและพื้นที่เชิงพาณิชย์ ควบคู่ไปกับการปรับค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทยที่จะยกระดับสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบินและไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก

3. CPALL ได้อานิสงส์จากการบริโภคและท่องเที่ยวเติบโต และยังมี upside จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โครงการแจกเงินดิจิทัล

4. MINT ไตรมาสที่ 3 เป็นช่วง High Season ของทวีปยุโรปในด้านการท่องเที่ยว และมีงานกีฬาใหญ่ 2 งาน ได้แก่ ฟุตบอลยูโร และโอลิมปิก ซึ่งจะเพิ่มความต้องการใช้โรงแรมจากคนจำนวนมากที่มาเชียร์กีฬา ส่งผลให้ MINT ซึ่งมีโรงแรมในยุโรปอยู่มากมีรายได้เพิ่มขึ้น

ในขณะที่รายได้จากฝั่งประเทศไทย ด้านการท่องเที่ยวและอาหารก็ดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น Free VISA, การจัดกิจกรรมและเทศกาล เป็นต้น ซึ่งช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น

5. TU โดยมองว่าผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาสแรกของปีนี้ ต้นทุนทูน่าลดลง ได้ประโยชน์จากบาทอ่อน

สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นที่มีความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูง/เพิ่มทุน

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับงบประมาณ โดยกล่าวถึงมาตรการทั้งในระยะสั้นและยาว แยกเป็นด้านการช่วยเหลือภาคประชาชน ได้แก่ ช่วยเหลือการบริโภคในประเทศที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย (กลุ่มเปราะบาง) เพิ่มมาตรการสนับสนุนกำลังซื้อแบบคนละครึ่ง แต่อาจจะเป็นรัฐช่วย 20% สนับสนุนกองทุนลดหย่อนภาษี LTF/ช่วยเหลือค่าครองชีพ พร้อมทั้งกระตุ้นการจ้างงาน

ถัดมาเสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนอุตสาหกรรม New S-Curve ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และตามมาด้วยการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว ดึงดูดการลงทุนต่างชาติและมาตรการผ่อนคลายอสังหาฯ