ส่องเทรนด์ “ลงทุนครึ่งปีหลัง” สินทรัพย์ไหนน่าสนใจบ้าง?

ส่องเทรนด์การลงทุนครึ่งปีหลัง สินทรัพย์ไหนน่าสนใจบ้าง หุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่ไหม ท่ามกลางความเสี่ยงหลายด้านที่ต้องจับตา

วันที่ 30 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดการลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงมีหลายปัจจัยและหลายความเสี่ยงที่นักลงทุนยังต้องติดตาม ทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจัยกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์ หรือแม้กระทั่งการเลือกตั้งสหรัฐที่นักลงทุนหลายคนจับตามอง ทั้งนี้ท่ามกลางปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนให้ตลาดเหล่านี้ มีสินทรัพย์ไหนน่าลงทุนได้บ้าง

หุ้นโลก บอนด์มี Upside สหรัฐ-เวียดนาม น่าสนใจ

นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา เปิดเผยว่า เทรนด์ในการลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะมีการชะลอตัวลง เงินเฟ้อจะไม่เร่งตัว ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ย คาดว่าจะลดก่อนเลือกตั้งสหรัฐ 1 ครั้ง และหลังการเลือกตั้งอีก 1 ครั้ง ซึ่งการปรับอัตราดอกเบี้ยจะทำให้กองทุนหรือพันธบัตรตราสารหนี้จะทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้น

“ดังนั้นคนที่อยากได้ผลตอบแทนประมาณ 4-5 % ขึ้นไปไม่จำเป็นต้องเสี่ยงในหุ้น เพียงถือกองทุนตราสารหนี้ อย่าง บอนด์ที่ออกโดยสกุลเงินดอลลาร์ หรือมี Investment Grade ที่ดี มีโอกาสได้รับผลตอบแทนดี”

ขณะที่ตลาดในฝั่งเอเชีย มองว่าตลาดเวียดนามน่าลงทุน จากที่ GDP ยังเติบโตในระดับสูง และถูกปรับประมาณการขึ้นในปี 2568 และยังได้ประโยชน์จาก FDI ไหลเข้า ภาครัฐยังคงเป้าหมายการผลักดันตลาดหุ้นเวียดนามเข้าสู่ดัชนี Emerging market ของ FTSE ภายในปี 2568 การบริโภคภายในประเทศกำลังคึกคัก ประชากรเป็นวัยกลางคนมากขึ้น นอกจากนี้กำไรในบริษัทจดทะเบียนโตเกือบ 20 % ต่อปี ขณะที่ PE ต่ำกว่าตลาดหุ้นไทย

Advertisment

“หุ้นไทยลง 4 ปีติดต่อกัน แต่ PE แพงกว่าเวียดนาม ทุกอย่างจึงบอกว่าตัวแทนของหุ้นไทยในวันที่ยังไม่ค่อยมีความหวัง มองว่าตาดหุ้นเวียดนามน่าสนใจ”

ด้านตลาดหุ้นจีน รัฐบาลทยอยประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าเศรษฐกิจปี 67 ขยายตัว 5% แต่ตลาดคาดว่า GDP จะขยายตัวต่ำกว่าเป้าจากตัวเลข 5% และความมั่นใจผู้บริโภคยังไม่ฟื้น และยังออมเงินมากขึ้น และมีพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปโดยอยากใช้เงินทำกิจกรรมมากขึ้น สวนทางซื้อบ้าน อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากราคาตราสารหนี้กลุ่มอสังหาที่เริ่มฟื้นตัว แนะนำสะสมหุ้นจีน

ขณะที่ตลาดหุ้นไทย มองหุ้นกลุ่มปันผลสูงในดัชนี SETHD (SET High Dividend) เนื่องจากได้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 4% ต่อปี เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องกำไรโต ยิ่งหุ้นไทยราคาลดลง แต่ยังมีการจ่ายปันผลที่ 4-5% จึงมองว่าในระหว่างที่ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะโตได้อย่างไร ให้ลงที่กลุ่มหุ้นปันผล

“ตลาดหุ้นไทยติดปัญหาเชิงโครงสร้างภาพรวมกำไรต่อหุ้นไม่เติบโตในรอบ 10 ปี สวนทางตลาดโลก Valuation อาจจะไม่สามารถกลับไปค่าเฉลี่ยในอดีตได้หากไม่มีมาตรการ ซึ่งจะต้องไม่เพียงเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน แต่ต้องช่วยฟื้นฟูการเติบโตของประเทศและกำไรของบริษัทจดทะเบียน”

Advertisment

ดอกเบี้ยลด บอนด์-หุ้นกู้ น่าสนใจ

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ผลสำรวจการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ในปี 2567 โดย 43% คาดการณ์ว่ามีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนธันวาคมซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปี

ด้านดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ Fed Watch Tool สะท้อนการคาดการณ์ของนักลงทุนที่คาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปี 2024 จากปัจจุบันที่5.25-5.50% เหลือ 4.75-5.00% โดยน่าจะเริ่มปรับลดครั้งแรกในช่วงเดือน ก.ย. นี้ “อย่างน้อยที่เราสบายใจคือคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะไม่มีการปรับขึ้นและจะมีการทยอยลดลงในช่วงครึ่งปีหลังนี้”

โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั้งในรุ่น 5 ปี และ 10 ปี น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบันหรือลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้ ตราสารหนี้มีหลายประเภทให้เลือกลงทุนตามระดับความเสี่ยง เช่น Basel III bond , Perpetual bond และ พันธบัตรออมทรัพย์ โดยนักลงทุนควรวางแผนการลงทุนที่มีการแบ่งเป็นกองหน้า กองกลาง กองหลัง แต่ละทัพจะเน้นสร้างความมั่งคั่ง สร้างกระแสเงินสด และคุ้มครองเงินต้น ตามลำดับ

ขณะที่ความเสี่ยงในการลงทุนตราสารหนี้ นักลงทุนควรทำความเข้าใจทั้ง ได้แก่ 1. ความเสี่ยงด้านราคา (Price/Interest Risk) ซึ่งจะเกี่ยวพันกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ย หากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น บอนด์ยีลด์มากขึ้นราคาอาจจะลดลง ซึ่งจะเป็นจุดเสี่ยงที่ทำให้ขาดทุนได้ โดยอัตราดอกเบี้ยนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้าน GDP หาก GDP และอัตราเงินเฟ้อซึ่งเป็นตัวที่เกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจ

2. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เป็นสิ่งที่ต้องติดตาม เนื่องจากมีการอันดับ Credit rating ของผู้ออกบอนด์หลายราย อย่างไรก็ตามเป็นสิ่งที่เฉพาะตัวบริษัทในการบริหาร

3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) นักลงทุนต้องทำความเข้าใจว่าบอนด์ไม่ได้มีสภาพคล่องเท่าการลงทุนในตลาดหุ้น ดังนั้นต้องพิจารณาระยะเวลาการถือครอง

หุ้นไทย จับตาเลือกตั้งสหรัฐ ชี้ทิศทางฟันด์โฟลว์

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จํากัด (TNITY) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นเนื่องจาก Earning (ผลกำไร) ยังไม่เติบโต ซึ่งตลาดกำลังรอ Earning ที่จะมาซัพพอร์ต นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์สำคัญที่มีผลต่อเม็ดเงินลงทุนค่างชาติิ (ฟันด์โฟลว์) ประกอบด้วยการเลือกตั้งสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนผันผวนมาก โดยตลาดหุ้นอาเซียนช่วงก่อนเลือกตั้ง 6 เดือนดัชนีปรับตัวลงประมาณ 10%

โดยจะเห็นบรรยากาศการลงทุนนิ่งรอปัจจัยใหม่มีผลต่อดัชนี ทั้งนี้ปริมาณการซื้อขายในตลาดทุนไทยปัจจุบันอยู่ที่ 60% ต่ำกว่ามาตรฐานที่โดยเฉลี่ยต้องอยู่ที่ 80 % นอกจากนี้อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหากเฟดไม่ลดดอกเบี้ยส่งผลให้เม็ดเงินไม่ไหลกลับ

“ถ้าอยากให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย มี 2.วิธี คือ 1. ตลาดหุ้นต้องลงไป 1,250 จุด เพื่อทำให้ Earnings Yield Gap (ส่วนต่างระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงกับไม่เสี่ยง) น่าสนใจ 2. Bond Yield (อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล) ต้องลดลงเป็น 3.88 %”

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์หาจังหวะเข้าลงทุน ขณะที่บางกลุ่มเป็นช่วงขาขึ้น อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มโรงพยาบาล โดยเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 67 มองเป็น 2 เหตุการณ์ ประกอบด้วยกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ดัชนีจะอยู่ที่ 1,240-1,430 จุด แต่หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้มีอัพไซด์ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวได้ถึง 1,500 จุดได้ โดยไตรมาส 3/67 ต้องหาหุ้นให้ดีก่อนที่ตลาดจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/67

หุ้นเอเชียเด่น กำไรบจ.โต

นางสาวพฤกษา เอี่ยมธงทอง Deputy Head of Equities-Asia Pacific, Asian Equities เปิดเผยว่า มองแนวโน้มตลาดหุ้นเอเชียในปีนี้น่าสนใจ กำไรจากผลดำเนินงาน (Earnings Growth) ที่คาดว่าจะโตประมาณ 15-17% หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินการติดลบ

ขณะที่มองว่าราคาหุ้นตอนนี้ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ 35-40% รวมถึงการคาดการณ์เรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งคาดว่าจะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียจะมีความโดดเด่นและสดใสในปีนี้

สำหรับตลาดหุ้นไทย ปีนี้คาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานเติบโต 10% โดยธีมการลงทุนที่น่าสนใจคือ กลุ่มสื่อสาร บริษัทที่เกี่ยวกับโกลบอลซัพพลายเชน กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มโรงพยาบาลยังเห็นการเติบโตที่ดี ซึ่งให้น้ำหนักลงทุนทั้งหุ้นขนาดใหญ่และเล็ก

อย่างไรก็ตาม มุมมองนักลงทุนต่างชาติมองตลาดหุ้นไทยมีราคาถูก แต่เติบโตน้อยกว่าตลาดอื่นมา 2 ปีแล้ว และมองว่าตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลีใต้น่าจะมีโอกาสเติบโตกว่า

“ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นเอเชียมีแรงหนุนจากการเติบโตของกำไรบริษัท และภาคการบริโภคก็เป็นปัจจัยผลักดันในระยะยาว ซึ่งปีนี้คาดกำไรบริษัทในตลาดหุ้นจีนจะเติบโต 12-15% ส่วนตลาดอินเดีย ยังมีมุมมองบวก แม้ว่าราคาหุ้นปรับตัวสูงแล้ว และมีปัจจัยด้านการเมืองกดดัน แต่คาดว่ากำไรยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ขณะที่ไต้หวันและเกาหลีใต้เติบโตแข็งแกร่ง จากการที่มีซัพพลายเชน AI เทคโนโลยี และคาดว่าครึ่งปีหลังบริษัทนอกกลุ่ม AI จะกลับมา หลังจากซบเซามา 2 ปี”