ฮั่วเซ่งเฮง ประเมินราคาทองครึ่งหลังปี’67 จับตา 3 ปัจจัยใหญ่

ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง
ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง

ฮั่วเซ่งเฮง วิเคราะห์แนวโน้มราคาทองครึ่งหลังของปี‘67 ชี้มี 3 ปัจจัยใหญ่ที่ต้องจับตา ทั้งแนวโน้มดอกเบี้ย นโยบายการคลังของสหรัฐ นโยบายการเงินของเฟด รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯด้วย เชื่ออีก 2-3 ปี นับจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ดีของทองคำ

วันที่ 29 มิถุนายน 2567 นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยถึงทิศทางราคาทองคำครึ่งหลังของปี 2567 ว่า แนวโน้มความต้องการทองคำของตลาดในประเทศยังคงมีเพิ่มขึ้น แต่ต้องจับตามองถึงสถานการณ์และปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ทั้งการปรับลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ซึ่งนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัคร มีทีท่าชัดเจนต้องการให้ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟด เร่งลดดอกเบี้ย

“ทางฮั่วเซ่งเองมองว่า อีก 2-3 ปี นับจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ดีของทองคำ”

โดยมี 3 ปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อราคาทอง ได้แก่ 1.แนวโน้มดอกเบี้ย คาดกันว่าปีนี้เฟดน่าจะลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว และหากมีข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อเริ่มลงหรือเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว คาดว่าดอกเบี้ยจะลดมากกว่า 1 ครั้ง

2.นโยบายการคลังของสหรัฐ จะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นผู้ชนะ ซึ่งทรัมป์เองมีนโยบายลดภาษีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยจะส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ

Advertisment

3.นโยบายการเงิน หากเฟด ไม่ลดดอกเบี้ย หนี้ของสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น ซึ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งฯ มีแนวโน้มว่าจะมีการก่อหนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ดอกเบี้ยในระดับสูงจะนำมาซึ่งปัญหาหนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทอง หรือหากเฟดลดดอกเบี้ย ก็จะเป็นผลบวกกับทองเช่นเดียวกัน

“ทองคำยังคงได้รับความนิยมและเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุน โดยมีจุดเด่นซึ่งแตกต่างจากการลงทุนอื่น ๆ และถือเป็นการลงทุนที่มั่นคงในระยะยาว โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 10% (ย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา)”

โดยหนึ่งในเหตุผลหลักที่นักลงทุนมักจะให้ความสนใจการลงทุนทองคำก็คือความสามารถในการคุ้มครองมูลค่าเงินลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน หรือในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นดังนี้

1. การเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย: ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือ “Safe-Haven Asset” ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน

Advertisment

2. ความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก: ทองคำมีการซื้อ-ขายทั่วโลกและมีตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้นักลงทุนสามารถทำการซื้อ-ขายได้ตลอดเวลา

3. การรักษามูลค่าในระยะยาว: ทองคำไม่เสื่อมค่าเมื่อเวลาผ่านไป ต่างจากสินทรัพย์บางประเภทที่อาจสูญเสียมูลค่า เนื่องจากการสึกหรอหรือเสื่อมสภาพ

“แนวโน้มราคาทองคำช่วงครึ่งหลังของปี 2567”

แนวโน้มราคาทองคำโลก แนวรับบริเวณ 2,250-2,430 ดอลลาร์ ยังคงแข็งแกร่งและสามารถฟื้นตัวขึ้นมาจากระดับดังกล่าวได้ ซึ่งแต่ละรอบที่ปรับตัวขึ้นมาก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้แทบทุกครั้ง และยังมีการยก Low และยก High ขึ้นมาในแต่ละเวฟ ซึ่งเป็นรูปแบบของแนวโน้มขาขึ้น ทั้งนี้ คาดการณ์ แนวรับที่ 2,280 / 2,250 ดอลลาร์ แนวต้าน 2,400 / 2,430 ดอลลาร์”

ขณะที่แนวโน้มราคาทองในประเทศ ได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวราว 2.40 บาทหรือราว 6.8% ช่วยหนุนราคาทองคำ โดยหลังจากขึ้นมาเหนือระดับ 40,000 บาทแล้ว ราคายังไม่เคยหลุดลงไปต่ำกว่าระดับ 40,000 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากความผันผวนของตลาด รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบกระแสลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์ และแน่นอนว่ารวมถึงแนวโน้มของทองคำที่เป็นขาขึ้นด้วย

“คาดการณ์ทองในประเทศ แนวรับที่ 40,000 / 39,700 บาท แนวต้าน 41,000 / 41,300 บาท”

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อทอง ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ได้แก่

1.ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในการประชุมเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ข้อมูล Dot plot แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจลดดอกเบี้ยปีนี้เพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น

2.การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้ามามีน้ำหนักมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำค่อนข้างมาก

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลลบต่อทอง คือ ธนาคารกลางจีนประกาศระงับการซื้อทองคำในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้ซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเวลา 18 เดือน ทำให้ตลาดตีความว่าธนาคารกลางจีนอาจหยุดซื้อทองคำแล้ว ทั้งนี้ ในปี 2566 ธนาคารกลางจีนเข้าซื้อรวม 225 ตัน หรือเฉลี่ย 19 ตันต่อเดือน

สำหรับ 4 เดือนแรกของปีนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองเพียง 130 ตัน ซึ่งถือว่าน้อยลง แต่หากราคาทองลงแรง ก็คาดว่าจะเข้าซื้อเพิ่มอีก ดังนั้น หากมีข่าวว่าธนาคารกลางจีนกลับมาซื้อทองคำอีกครั้ง เหตุผลดังกล่าวจะกลับมาเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองสูงขึ้น