กองทุน TESG ใหม่ ชง ครม. ใน 2 สัปดาห์ คาดเงินลงทุน 3 หมื่นล้าน

money

คลัง-ก.ล.ต.-ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผนึกกำลังฟื้นความเชื่อมั่น คลอดเกณฑ์กองทุน TESG ใหม่ ลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ไม่เกิน 300,000 บาท ถือครอง 5 ปีนับจากวันซื้อ ลงทุนในหุ้นโดดเด่นด้าน E และ G รวมกว่า 300 ตัว ด้าน “พิชัย-ขุนคลัง“ เผยเสนอ ครม.ได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ประเมินรัฐสูญรายได้จากภาษี 1.3 หมื่นล้าน คาดเริ่มขายได้เดือน ก.ค. 67 มีเม็ดเงินลงทุน 3 หมื่นล้าน

วันที่ 24 มิถุนายน 2567 กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) 3 หน่วยงานภาคกำกับตลาดเงินตลาดทุนไทย ได้ร่วมแถลงข่าว “มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน”

โดยการแถลงในครั้งนี้มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. และนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมแถลง

โดยมีแนวทางสำคัญในการส่งเสริมการออมภาคประชาชนมุ่งไปสู่การลงทุน เพื่อนำไปสู่ชีวิตทางการเงินที่ดี (Financial Well-being) ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของตลาดทุนไทย นอกเหนือจากนั้นอยากเห็นการเข้าถึงตลาดทุนที่มากขึ้น

Advertisment

โดยจะมีการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ภายใต้เงื่อนไขใหม่คือ 1.สามารถลดหย่อนภาษีได้ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท (จากเดิมได้แค่ 100,000 บาท) 2.มีระยะเวลาถือครอง 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ (จากเดิมต้องถือครอง 8 ปี)

3.มีนโยบายการลงทุน ต้องลงทุนมากกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ซึ่งจากเดิมลงทุนหุ้นใน SET/mai ที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (E) / ESG หรือเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 128 บริษัท แต่เงื่อนไขใหม่ให้เพิ่มลงทุนในหุ้นที่มีระดับการประเมิน CG Rating ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และมีการเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาล (G) และรูปแบบที่ ก.ล.ต.กำหนด และหุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี ESG ที่ได้รับความเชื่อถือระดับสากล ได้อีกไม่ต่ำกว่า 200 บริษัท ส่วนการลงทุนใน ESG Bond และ Green Token ยังเหมือนเดิม

นายพิชัยกล่าวว่า คาดว่าจะสามารถเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ และสามารถใช้ได้ในปีภาษี 2567 เพราะขณะนี้อธิบดีกรมสรรพากรได้ดำเนินการเรื่องนี้ไว้เสร็จหมดแล้ว โดยสามารถออกขายได้ตั้งแต่ในช่วงเดือน ก.ค. 2567 เป็นต้นไป

Advertisment

โดยคาดว่าในช่วงระยะเวลา 4-5 เดือนของปีนี้จะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาได้ประมาณ 30,000 ล้านบาท ประเมินจากเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน TESG เดิม ที่เปิดขายไปเพียง 1 เดือน เมื่อช่วงเดือน ธ.ค. 2566 มีเงินลงทุนเข้ามาประมาณ 6,000 ล้านบาท ในส่วนการประเมินรายได้ที่รัฐบาลจะสูญเสียไปประมาณ 13,000 ล้านบาท (จากการจำลองใช้สิทธิลดหย่อนภาษีครบทุกระดับอายุของฐานที่เสียภาษี)

“จากการพูดคุยกับภาคเอกชน และจากการวิเคราะห์ข้อมูลวิจัย ต้องบอกว่าระยะเวลาถือครอง 5 ปี และวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท มีผลอย่างมากที่จะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาสู่ตราสารสีเขียว ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือตราสารหนี้ แต่หลัก ๆ จะมีผลโดยตรงกับตลาดหุ้น

ดังนั้น จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแรงขึ้น จากเม็ดเงินลงทุนระยะยาวเข้ามาถ่วงสมดุลกัน (counter balance) กับเม็ดเงินลงทุนระยะสั้น ซึ่งถือเป็นจังหวะดีที่จะได้ประโยชน์ช่วงที่ราคาหุ้นน่าสนใจ ขณะเดียวกัน ได้ประโยชน์ทางภาษี โดยสิ่งที่รัฐจะได้คือคนที่มีความมั่นคงทางการเงินสูงขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่”

ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญคือ อยากจะเห็นคนไทยมีเงินออมนอกเหนือจากการฝากเงินผ่านธนาคาร ซึ่งมีหลายรูปแบบ โดยผ่านกองทุน TESG เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่ออมเงินแล้วผลตอบแทนไม่เสียหาย เพราะ ESG เป็นธุรกิจแห่งอนาคต น่าจะเป็นสิ่งที่สร้างความยั่งยืนได้ดี