นักลงทุนวิเคราะห์หุ้น NVIDIA ลุ้นมาร์เก็ตแคปทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์

FILES-US-STOCKS-IT-NVIDIA
Photo by JUSTIN SULLIVAN / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP

นักวิเคราะห์จับตาหุ้น NVIDIA หลังสร้างปรากฏการณ์ มาร์เก็ตแคปแซงหน้า Microsoft และ Apple ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นักลงทุนสหรัฐประเมินมาร์เก็ตแคปอาจทะยานถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกในโลก ส่วนนักวิเคราะห์ไทยชี้หุ้น NVIDIA มาแรง เพราะกำไรเติบโตเกือบ 500% เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ตรงกับความต้องการของตลาด แต่ให้ระวังอาจชะลอตัวในไตรมาส 2 เพราะที่ผ่านมาเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างมาก

จากกรณีที่เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา บริษัท NVIDIA (เอ็นวิเดีย) บริษัทผู้ผลิตชิปประมวลผลด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ทำสถิติใหม่ แซง Microsoft (ไมโครซอฟท์) กับ Apple (แอปเปิล) ขึ้นไปเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงที่สุดในโลก ด้วยมูลค่า 3.335 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐ สามารถแซงหน้า 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ได้สำเร็จ แม้ในอีก 2 วันต่อมา Microsoft จะสามารถแซงกลับมาได้ เนื่องจากมีการขายทำกำไรหุ้น NVIDIA จนราคาหุ้นตกทำให้มูลค่ารวมลดลง อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วและรุนแรงของ NVIDIA เป็นที่จับตาของนักวิเคราะห์และนักลงทุนหุ้นทั่วโลก

คาดพุ่ง 5 ล้านล้านดอลลาร์

นายคริส โรลแลนด์ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของ Susquehanna ในวอลล์สตรีตมองว่า ราคาหุ้น NVIDIA มีโอกาสไปไกลถึง 160 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจากเดิม 145 ดอลลาร์ต่อหุ้น เป็น 160 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งหมายถึงราคาจะเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 20% จากระดับสถิติล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน และจะดันให้มาร์เก็ตแคปของ NVIDIA ขึ้นไปอยู่ที่ 3.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่นายหลุยส์ นาเวลลิเยอร์ หนึ่งในนักลงทุนที่มีชื่อเสียงในวอลล์สตรีต คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เมื่อตอนที่ NVIDIA มีมาร์เก็ตแคปแซง Apple เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ว่า NVIDIA จะกลายเป็นบริษัทแรกของโลกที่มีมาร์เก็ตแคป 5 ล้านล้านดอลลาร์ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

Advertisment

ปัจจัยท้าทาย NVIDIA คู่แข่งเพิ่ม

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า แม้มีแนวโน้มว่า AI จะมีบทบาทสูงขึ้น และดีมานด์ชิปประมวลผลสำหรับ AI จะเพิ่มขึ้น แต่ส่วนแบ่งตลาดของ NVIDIA มีแนวโน้มลดลงจากการมีผู้เล่นรายอื่นเข้ามา อีกทั้งบริษัทเทคหลายรายที่เป็นลูกค้า NVIDIA กำลังพัฒนาชิปของตนเองด้วย

เมื่อปีที่แล้ว NVIDIA ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ 95% โดยมีชิป A100 สำหรับคลาวด์-ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นธงนำ แต่ปีนี้ NVIDIA เหลือส่วนแบ่งตลาด 80% กระนั้น NVIDIA ได้มีชิปรุ่นใหม่ H100 ประสิทธิภาพสูงกว่าและราคาแพงกว่าเดิม โดยชุดชิป A100 มีราคาราวใบละ 3.67 แสนบาท ขณะที่ชิป H100 ราคาประมาณใบละ 1.5 ล้านบาท และความต้องการ GPU ยังทำให้ชิปรุ่นใหม่ดังกล่าวผลิตไม่ทันความต้องการ ถูกจองโดยบริษัทเทคข้ามไปถึงต้นปี 2025 แล้ว

ลูกค้ารายใหญ่เร่งพัฒนาเอง

ขณะเดียวกัน ลูกค้าอีกหลายรายมองหาทางเลือกชิปประมวลผลจากบริษัท อื่นทดแทนชิปจาก NVIDIA อย่างเช่น Oracle ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ของโลกอีกราp ได้ใช้ชิปจาก Advanced Micro Devices (AMD) ซึ่งเป็นคู่แข่งด้าน GPU รายสำคัญของ NVIDIA ที่เดิมมีชิปเอไอ MI300 ที่แข่งกับ A100 ของ NVIDIA อยู่แล้ว และกำลังจะเปิดตัวชิป MI350 ที่เร็วกว่าเดิม 35 เท่า พร้อมขายในต้นปี 2025 ตามมาด้วย MI400 ที่จะขายในปี 2026

นอกจากนั้น ดีมานด์ที่มีมาก เร่งให้บริษัทเทคโนโลยีอีกหลายรายเริ่มพัฒนาชิป AI ของตัวเอง ทั้งในส่วนของ GPU และ CPU เพื่อใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ของตัวเอง อย่าง Microsoft แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ NVIDIA แต่ก็เริ่มใช้ชิป Maia สำหรับ Azure Cloud ของตนเองแล้ว และ Amazon มี Graviton ที่พัฒนาเองมาถึงรุ่นที่ 4 แล้ว หรือแม้แต่ยักษ์ Intel ที่ดึงการผลิตชิปกลับสู่สหรัฐ ตามกฎหมาย Chips Act ของประธานาธิดี โจ ไบเดน ก็พัฒนาชิป AI เพื่อแข่งขันกับเจ้าอื่นเช่นกัน

Advertisment

Apple อัพเกรดโปรเจ็กต์ลับ

ยังไม่รวมถึง Apple ที่ล่าสุดอัพเกรดฟีเจอร์ AI ของตนเอง โดยปรากฏชื่อโปรเจ็กต์ลับ ACDC-Apple Chips in Data Center สอดรับการอัพเกรดโครงสร้างคลาวด์รองรับความปลอดภัยของผู้ใช้เอไอ ซึ่งแม้จะยังจะเป็นการทำชิปประมวลผลเชิงอนุมาน มากกว่าการฝึกโมเดล AI ซึ่ง NVIDIA ครอบงำตลาดอยู่ แต่มีแนวโน้มสำคัญว่าจะเป็นการพยายามหนีจากการถูกครอบงำโดยผู้ผลิตรายเดียว

ราคาหุ้นค่อนข้างแพงแล้ว

ส่วนมุมมองในประเทศไทย นายเจษฎา สุขทิศ CEO & Cofounder Finnomena Group เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เหตุผลที่ NVIDIA สามารถกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุดในโลกในเวลานี้ มาจากดีมานด์ของความต้องการชิปประมวลผล โดยระบบเอไอ ไม่ว่าจะเป็น Generative AI, ChatGPT, Gemini ฯลฯ เวลารันระบบต้องใช้ชิปประมวลผลข้อมูลเป็นจำนวนมาก ซึ่ง NVIDIA สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ออกมาตอบโจทย์ได้จริง จึงหนุนให้มีผลประกอบการเติบโตโดดเด่น

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น NVIDIA ขณะนี้ถือว่าค่อนข้างแพง เพราะมีระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE) อยู่ที่ 70-80 เท่า ซึ่ง NVIDIA เป็นธุรกิจที่เติบโตด้วยยอดขาย ปีนี้ขายได้มากก็มีกำไรสูง แต่ปีหน้าถ้าจะให้กำไรเติบโตก็ต้องขายได้มากขึ้นไปอีก จึงมีความเสี่ยงอยู่ เพราะเป็นธุรกิจที่มีความเป็นวัฏจักรระดับหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อาจจะอยู่ในวัฏจักรขาขึ้นสุด ๆ จึงทำผลตอบแทนได้ดีมาก จะไม่ใช่หุ้นที่เติบโตต่อเนื่องแบบ Microsoft ที่มีรายได้จากผู้ใช้บริการต่อเนื่องทุกปี หรือ Google ที่มีรายได้โฆษณาและรายได้ระบบคลาวด์ที่เป็นซอฟต์แวร์ทุกปี

ธุรกิจมีจุดอิ่มตัว-เก็งกำไรยาก

นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า ต้องติดตามหุ้น NVIDIA ว่ามาร์เก็ตแคปจะยั่งยืนและทิ้งห่างคู่แข่งได้นานแค่ไหน เพราะธุรกิจ NVIDIA อาจมีจุดอิ่มตัวอยู่เหมือนกัน โดยจากกำไรช่วงไตรมาส 1/2567 อัตราการเติบโตค่อนข้างสูง และสูงกว่าบริษัทในกลุ่ม Magnificent Seven ที่เป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม

NVIDIA มีกำไรเติบโต 486% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ในขณะที่ Microsoft เติบโต 20% Amazon เติบโต 216% META เติบโต 114% Google เติบโต 62% APPLE เติบโต 0.7% และ Tesla ลดลง 9% สะท้อนให้เห็นว่ากำไรของ NVDIA มีลักษณะการเติบโตที่ฉีกจากกลุ่มอยู่พอสมควร และนักวิเคราะห์ยังปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นอีกด้วย

“ปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นของ NVIDIA ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจาก 3 สาเหตุหลัก คือ 1.ผลประกอบการ NVIDIA ในส่วนธุรกิจ Data Center มีอัตราการเติบโตสูงถึง 300-400% ถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 2.ดีมานด์ของความต้องการในสินค้า AI ยังมีอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และ 3.มีการออกสินค้าใหม่ในทุกปี ตามที่ เจนเซ่น หวง ซีอีโอ NVIDIA ขึ้นพูดในงาน Computex ที่ไต้หวัน”

คาดไตรมาส 2 เริ่มชะลอตัว

นายสิทธิชัยกล่าวอีกว่า ปีนี้ NVIDIA เปิดตัวชิปประมวลผลกราฟิกเอไอรุ่นใหม่ชื่อว่า Blackwell ปีหน้าจะมีรุ่นอัพเกรดเป็น Blackwell Ultra และในปีถัดไปจะเป็น GPU ใหม่ โค้ดเนม Rubin รวมทั้งทำ Module ของ AI ทั้งซีพียูและจีพียูรวมกันเป็นแพลตฟอร์ม ทำให้ NVIDIA ชิงมาร์เก็ตแชร์คู่แข่งได้เพิ่มขึ้น พร้อมกันนั้นในช่วงครึ่งปีหลังจะมี AI PC (ชิปที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, แท็บเลต) ซึ่งผู้ทำระบบ AI อย่าง Google, Amazon, META, Microsoft ต้องลงทุนมากขึ้น จึงส่งผลบวกต่อ NVIDIA โดยตรง

“อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ NVIDIA ช่วงไตรมาส 2/2567 คงมีแนวโน้มชะลอตัวลงบ้าง เพราะคงไม่สามารถรักษาการเติบโตใกล้ระดับ 500% ไปตลอดได้ แต่เชื่อว่าการเติบโตคงจะไม่ลดแรง และยังมีอัตราการเติบโตดีกว่าบริษัทในกลุ่ม Magnificent Seven”

แนะดูจังหวะขายทำกำไร

นายสิทธิชัยกล่าวอีกว่า มูลค่าหุ้น NVIDIA มีระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ค่อนข้างแพง ประเมินกำไรต่อหุ้น (EPS) ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 28 ดอลลาร์สหรัฐ มีโอกาสราคาหุ้นจะขึ้นไปแตะ 140 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ราคาตรงนี้ต้องระมัดระวังแล้ว เพราะราคาหุ้นเริ่มเต็มมูลค่า จึงแนะนำว่าให้ขายทำกำไรในช่วงเวลานั้น และหาจังหวะเข้าใหม่ช่วงที่มีข่าวดีเพิ่มเติม

ส่วนกรณี NVIDIA แตกพาร์หุ้นจาก 1 หุ้นเป็น 10 หุ้น มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา อาจไม่มีผลกระทบกับภาพปัจจัยพื้นฐาน เพราะแค่มีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น 10 เท่า และราคาหุ้นปรับตัวลดลง 10 เท่า แต่ความมั่งคั่งยังเท่าเดิม อย่างไรก็ดี คงเป็นเซนติเมนต์เชิงบวกกับราคาหุ้นในช่วงระยะสั้น ๆ เพราะอาจจะกระตุ้นความสนใจในหมู่นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น แต่ตามสถิติการแตกพาร์หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ (Amazon, Microsoft, Google, Tesla) ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าไม่ได้มีผลตอบแทนก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นภายใต้ธีมนี้คงยากหากจะเข้าไปเก็งกำไร