![หุ้นไทยร่วง (1) หุ้นไทย หุ้นร่วง](https://www.prachachat.net/wp-content/uploads/2022/04/หุ้นไทยร่วง-1-728x485.png)
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ชี้แจงสาเหตุ “นักลงทุนต่างชาติ” ขายหุ้นไทยหนัก ช่วงปิดสิ้นเดือน พ.ค. 67
วันที่ 7 มิถุนายน 2567 นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนแรกปี 2567 สถานการณ์เงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) พบว่ามีการขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วจำนวน 8.2 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงเดือน พ.ค. 2567 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปทั้งสิ้น 1.6 หมื่นล้านบาท ยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 53.41% ของมูลค่าการซื้อขายรวม
- หวยออกงวด 1 ก.ค. ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล-สถิติหวยย้อนหลัง 10 ปี
- อ.วันชัย แนะจัดการมรดกวัยเกษียณ อย่าเซ็นค้ำให้ใคร-ทำพินัยกรรมสำคัญ
- “โชคเก่งสกุลมะพร้าวอ่อน” เบื้องหลัง “โรงงานน้ำมะพร้าวหมื่นล้าน”
ทั้งนี้ สำหรับวันที่ 31 พ.ค. 2567 ที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกไปกว่า 4 พันล้านบาท อยากจะขอชี้แจงว่าเป็นวันที่มีการทำ MSCI Rebalancing ซึ่งเป็นดัชนีที่กองทุน Passive Fund ทั่วโลกใช้อ้างอิงการลงทุน ซึ่งได้มีการปรับน้ำหนักลงทุนปีละ 2 ครั้งคือ ช่วงเดือน พ.ค. และเดือน พ.ย. ทำให้ทุกประเทศใน Emerging Market โฟลว์ไหลออกหมดแม้กระทั่งจีน โดยรอบนี้มีการปรับน้ำหนักเงินลงทุนเพิ่มเข้าไปยังตลาดอินเดีย ดังนั้น ต้องรอติดตามช่วงการปรับ MSCI Rebalancing อีกครั้งในสิ้นเดือน พ.ย. แต่อย่างไรก็ดี ในบางปีก็มีการปรับเพิ่มน้ำหนักในไทย ซึ่งในวันนั้นมีการเทรดหุ้นไทยเกือบ 2 แสนล้านบาทในวันเดียว
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตอนนี้เริ่มเห็นเซ็นติเมนต์ที่นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนหุ้นไทยมากขึ้น ในขณะที่เม็ดเงินไหลออกลดน้อยลง อย่างเช่น ช่วงวันที่ส่งออกลดลง 10.9% ในเดือน มี.ค. 2567 วันนั้นฟันด์โฟลว์แทบจะไม่ไหลออก จึงอยากให้นักลงทุนติดตาม ว่าการไหลกลับเข้ามาของเงินลงทุนต่างชาติจะเป็นอย่างไร
โดยตอนนี้ปัจจัยสำคัญที่สุดในการส่งผลกับดัชนี SET Index จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจไทย ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/2567 ตัวเลข GDP ไทยแม้จะยังต่ำ +1.5% แต่สูงกว่าตลาดคาดการณ์ที่ +0.8% รวมทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่ง 2 ปัจจัยนี้จะเป็นปัจจัยที่มีผลสำคัญต่อดัชนี SET อย่างมาก
ส่วนสถานการณ์ความเสี่ยงทางการเมืองไทย ก็อาจจะเป็นความกังวลของนักลงทุนต่างชาติอยู่เหมือนกัน แต่มองว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าคือการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนมากกว่า