ตลท. เร่งเครื่องฟื้นเชื่อมั่น บินโรดโชว์ “ตะวันออกกลาง” ส.ค. จัดงานใหญ่ Thailand Focus

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เร่งเครื่องฟื้นเชื่อมั่น เล็งบินโรดโชว์ “ตะวันออกกลาง” ดึงโฟลว์จากบรรดายักษ์กองทุน เผยช่วง 28-30 ส.ค. 67 จัดงานใหญ่ Thailand Focus ชูธีม 7 จุดแข็งประเทศไทย หวังให้ข้อมูลแก่บรรดานักลงทุนชาวไทยและต่างชาติ เพื่อโอกาสลงทุนในตลาดประเทศไทยในทุกมิติ

วันที่ 6 มิถุนายน 2567 นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า หลังจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปเข้าร่วมงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) 2024 ที่ฮ่องกง เพื่อเดินสายแนะนำข้อมูลตลาดทุนไทย (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ที่จัดโดยธนาคาร UBS ของสวิตเซอร์แลนด์

โดยมีผู้ลงทุนสถาบัน/กองทุนเข้าร่วมกว่า 3,000 กองทุน ซึ่งมีกองทุนขนาดใหญ่ที่เข้าร่วม อาทิ BlackRock, JPMorgen, Asset Management เป็นต้น

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ได้เห็นคือ ในช่วงโควิดที่ผ่านมาการโรดโชว์ผ่านรูปแบบออนไลน์ สู้ไปโรดโชว์แบบ Face to Face ไม่ได้ ดังนั้น เป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ต้องกลับมาให้ความสำคัญมากขึ้น และต่อไปจะไม่ได้ไปโรดโชว์เฉพาะบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เท่านั้น แต่อาจจะต้องเรียนเชิญภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องไปร่วมด้วย

ทั้งนี้ สิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อออกไปโรดโชว์ในต่างประเทศในช่วงที่เหลือของปีนี้คือ กลุ่มตะวันออกกลาง (Middle East) เพราะพบว่ามีดีมานด์และมีบรรดากองทุนที่มีเงินลงทุนอยู่ค่อนข้างมากและน่าสนใจ

Advertisment

ส่วนก่อนหน้านี้ก็ได้ไปโรดโชว์ที่ออสเตรเลีย ถือว่าน่าสนใจเหมือนกัน และประเทศอื่น ๆ ที่ต้องไปโรดโชว์เป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ลอนดอน นิวยอร์ก พร้อมกับอาจจะต้องกลับไปโรดโชว์ในประเทศแถบสแกนดิเนเวียอีกด้วย

ส่วนการจัดงานใหญ่ประจำปีของตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างงาน Thailand Focus 2024 ที่จะให้ข้อมูลแก่บรรดานักลงทุนชาวไทยและต่างชาติ เพื่อโอกาสการลงทุนในตลาดประเทศไทยในทุกมิติ โดยปีนี้กำหนดธีม 7 จุดแข็งของประเทศไทย

ทั้งนี้ โดยปกติแล้วจะมีบริษัทจดทะเบียนใน SET50 และ SET 100 และ Mai ที่นักลงทุนต่าง ๆ ให้ความสนใจเข้าร่วม ส่วนสถานบันต่างประเทศเป็น Traditional Long-Term Investor, Short-Term Investor ที่เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการกำหนดราคา (Liquidity Provider) โดยงานนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 28-30 ส.ค. 2567

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการจัดอีเวนต์ใหญ่ในวันที่ 15-16 มิ.ย. 2567 อย่างงาน SET in the City 2024 ซึ่งเป็นอีเวนต์การลงทุนที่ครบที่สุดแห่งปี

Advertisment

ทั้งนี้ สำหรับการไปโรดโชว์ที่ฮ่องกง นายกฯเศรษฐาได้อัพเดตภาพรวมประเทศไทย ทั้งนโยบายเศรษฐกิจไทย และภาพตลาดทุนไทย โดยจุดแข็งของประเทศไทยที่มีความสำคัญคือ

1.ประเทศไทยไม่ได้อิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงเป็นมิตรกับทุกประเทศที่ค้าขาย โดยตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของบริษัทต่างชาติสูงกว่าปีก่อน ๆ ในระดับ 100%

2.ประเทศไทยเป็นแหล่งพลังงานสะอาด (Clean Energy) ซึ่งประเด็นนี้ค่อนข้างได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก และ

3.การยกระดับมาตรการกำกับตลาดหุ้นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้อธิบายให้บรรดากองทุนได้เกิดความเข้าใจว่า เป็นการยกระดับเพื่อป้องกันในวัตถุประสงค์ที่จำกัดเฉพาะ และนักลงทุนต่างชาติจะไม่ได้รับผลกระทบ

โดยมีเป้าหมายสำคัญด้วยกัน 3 ส่วนคือ 1.เพื่อให้การเข้าถึงตลาดหุ้นเท่าเทียมกัน ระหว่างนักลงทุนรายย่อยกับนักลงทุนสถาบัน 2.เพื่อควบคุมไม่ให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวมากเกินไป และ 3.เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรม หรือการซื้อขายที่ผิดกฎหมาย หรือตามข้อกำหนด ตลท. ยกตัวอย่างเช่น การทำ Naked Short Selling เป็นต้น

ทั้งนี้ บรรดากองทุนค่อนข้างเข้าใจ และเห็นด้วยกับมาตรการกำกับของตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมกันนั้นได้มีการให้คำแนะนำเพิ่มเติมคือ อยากให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการสื่อสารกับกองทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น และมีการขอให้รับฟังถึงแนวทางการบังคับใช้ในแต่ละมาตรการในอนาคต พร้อมกับแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เพื่อปรับตัวไม่ให้เกิดผลกระทบต่อธุรกรรมหรือธุรกิจต่าง ๆ ของพวกเขา

นายภากรกล่าวต่อว่า ตอนนี้ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยและตลาดหุ้นไทย ถามว่ายังมีเสน่ห์หรือไม่นั้น พบว่าตอนนี้นักลงทุนต่างชาติจะมองออกเป็น 2 ส่วนคือ

1.ด้านปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) ของประเทศไทย ซึ่งมีจุดแข็งระดับโลกและทุกคนยังยอมรับคือ อุตสาหกรรมทางด้าน Well-being Economy, การส่งออก, อาหาร, เฮลท์แคร์ และการท่องเที่ยว และสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญต่อไปคือ ธุรกิจพวกนี้ปัจจุบันมีอัตราเติบโต ด้วยการใช้เทคโนโลยีและขยายการทำธุรกิจใหม่ ๆ หรือการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) อย่างไรบ้าง

ในอนาคตสิ่งนักลงทุนต่างชาติอยากได้คือ ข้อมูลที่ทันต่อเหตุการณ์ และข้อมูลภาษาอังกฤษ ที่จะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจในประเทศไทยมีความหลากหลายอย่างไร นี่คือสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องนำไปจัดการ ทำให้ต่อไปพร้อมทั้งเวลาจะให้ข้อมูลต่าง ๆ ต้องมีความชัดเจนไปเลย เช่น บริษัทจดทะเบียนที่เติบโต รายได้มาจากส่วนไหน และการเติบโตของกำไรมาจากเซ็กเตอร์ไหนเป็นสำคัญ

2.นักลงทุนต่างชาติทุกคนให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยค่อนข้างมีคุณภาพ ติดอยู่ในดัชนี DJSI, MSCI ESG, FTSE4Good ดังนั้น ต้องให้ข้อมูลที่ให้นักลงทุนต่างชาติได้รับทราบว่าบริษัทพวกนี้ทำอะไรบ้างเป็นเรื่องสำคัญ

และ 3.ตามที่นายกเศรษฐาได้พูดถึงการ Relocation ของอุตสาหกรรมในอนาคต ทำไมประเทศไทยน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการมีสิทธิประโยชน์ด้าน BOI ที่น่าสนใจ ประเทศไทยไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองกับประเทศอื่น ไปได้กับทุกกลุ่ม ซึ่งให้ความสำคัญและมุ่งเน้นเรื่องพลังงานสะอาด ทำให้หลายธุรกิจมองว่านี่คือสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ในอนาคต จึงเป็นจุดที่จะขยายต่อได้ ซึ่งบรรดากองทุนจะมองถึงอนาคต

และที่น่าสนใจมากกับเรื่องที่ตลาดทุนไทยสามารถระดมทุนไอพีโอได้อย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี ปีละ 30-40 บริษัท มีมาร์เก็ตแคปปีละ 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีสภาพคล่องที่สูง และมีโปรดักต์ที่เชื่อมต่อกับประเทศอื่น เช่น DR, ETF ซึ่งโปรดักต์เหล่านี้นักลงทุนค่อนข้างให้ความสนใจ โดยเฉพาะ DR, ETF ที่เชื่อมในภูมิภาคได้มากกว่านี้ เพราะสามารถที่จะลงทุนในประเทศนั้น ๆ ได้เลย ไม่จำเป็นต้องทำ Due Diligence เพิ่มเติม นี่คือสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะต้องมุ่งเน้นต่อไป