เผ่าภูมิ ชี้แจกดิจิทัล 10,000 บาท ให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐก่อน เข้าใจคลาดเคลื่อน

เผ่าภูมิ โรจนสกุล
เผ่าภูมิ โรจนสกุล

เผ่าภูมิ รมช.คลัง เผยแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไม่มีการแยกจ่ายกลุ่มเปราะบาง ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน จำนวน 14.98 ล้านคนก่อน ชี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ยัน 50 ล้านคน รับ 10,000 บาท พร้อมกันไม่เกินไตรมาส 4/67 หวังเห็นเงินก้อนไหลเข้าระบบช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันที่ 5 มิถุนายน 2567 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวรัฐบาลเตรียมแผนจ่ายเงินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ให้กับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14.98 ล้านคนก่อน หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอวงเงิน 122,000 ล้านบาท สำหรับเป็นงบฯกลางปี ว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

โดยทุกอย่างยังเดินหน้าตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ คือ เริ่มลงทะเบียนประชาชนและร้านค้า ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ และเงินกระจายถึงมือประชาชนในไตรมาส 4 ปีนี้ ดังนั้นทุกอย่างยังเป็นไปตามไทม์ไลน์เดิม

“ยังยืนยันว่าการจ่ายเงินในโครงการเป็นการจ่ายงวดเดียวทั้งก้อน 5 แสนล้านบาท ทุกคนได้ 10,000 บาท จำนวน 50 ล้านคนได้พร้อมกัน ตอนนี้ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ข่าวที่ออกมาอาจเป็นความเข้าใจกันที่คลาดเคลื่อน โดยจะไม่มีการพิจารณากลุ่มนั้นกลุ่มนี้ก่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทุกคนได้เงินพร้อม ๆ กัน ในระยะเวลาเดียวกัน ในจํานวนเงินที่เท่ากัน เพราะเราต้องการเม็ดเงินจำนวนมาก ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะมีการทําเป็นแยกหลาย ๆ ภาคส่วน” นายเผ่าภูมิกล่าว

สำหรับงบประมาณที่มาทำในโครงการ Digital Wallet ยังคงเหมือนเดิม คือ ส่วนหนึ่งก็มาจากงบฯกลางปีเพิ่มเติมของการบริหารงบประมาณปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท โดยในส่วนนี้ได้ออกงบฯกลางปีจำนวน 122,000 ล้านบาท ส่วนที่ 2 มาจากที่ขยายงบฯขาดดุลของปี 2568 จำนวน 152,300 ล้านบาท และส่วนที่ 3 จากการใช้เงินตามมาตรา 28 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังปี 2561 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 172,300 ล้านบาท

Advertisment

ส่วนงบประมาณที่ยังขาด จำนวน 10,000 ล้านบาท จะมีแหล่งเงินจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการเพิ่มเติม เมื่อรวมกับเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 112,000 ล้านบาท จะอยู่ที่จำนวน 122,000 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นรายละเอียดให้สํานักงบประมาณชี้แจง