กูรูส่องตลาดหุ้นสหรัฐ เดือน พ.ค. ยังน่าลงทุนหรือไม่ ?

หุ้นสหรัฐ

มอนิ่งสตาร์ เปิดมุมมองการลงทุนหุ้นสหรัฐ เดือน พ.ค. แนะหุ้นกลุ่ม Value เพิ่มน้ำหนักลงทั้งหุ้นขนาดกลางและเล็ก ลดการลงทุน กลุ่ม Growth รวมไปถึงหุ้นขนาดใหญ่

วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐปรับลดลงจนราคาที่ซื้อขายกลับมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Small-cap รวมไปถึงหุ้นในหมวดหมู่อสังหาริมทรัพย์ สื่อสาร และกลุ่ม Materials ที่ราคายังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ขณะที่ภาพเศรษฐกิจยังอ่อนแอและเงินเฟ้อยังไม่ปรับลดลง

โดยจากบทความวิเคราะห์ Morningstar รายงานว่าในช่วงสิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา Morningstar US Market Index ปรับลดลง 4.30% และอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นหรือต่ำกว่า Fair values ที่ Morningstar ประเมินไว้ 2%

นอกจากนี้ผลตอบแทนของตลาดตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันพบว่ากว่า 85% ของผลตอบแทนเป็นผลมาจากราคาของหุ้นเพียง 10 บริษัทเป็นหลัก แต่คาดว่าภาพตลาดจากนี้จะมีผลตอบแทนที่ดีจากบริษัทอื่น ๆ มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน 10 บริษัทที่เป็นผู้นำตลาดนั้นมีมูลค่าอยู่ในจุดที่เหมาะสม หรือบางส่วนอาจสูงเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานแล้ว ซึ่งมีเพียงบริษัท Berkshire Hathaway เท่านั้นที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น

Advertisment

ทั้งนี้เราคาดว่าภาพตลาดกำลังจะเปลี่ยนไป โดยหุ้นที่เคยเป็นผู้นำให้ตลาดปรับเพิ่มขึ้นนั้นหากนับตั้งแต่ตลาดหุ้นได้ลงถึงจุดต่ำสุดจนปัจจุบันราคาหุ้นเหล่านั้นได้ปรับขึ้นมาจนเข้าสู่มูลค่าที่ควรจะเป็นแล้ว ดังนั้นจึงแนะนำให้หาโอกาสลงทุนในหุ้นที่ราคายังไม่ปรับเพิ่มขึ้น หรือหุ้นที่ยังไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนในตลาดและยังมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน

หุ้นกลุ่ม Growth ถูกขายอย่างมากในเดือนเมษายน

ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาหุ้นที่เป็น Growth stocks ปรับลดลงถึง 5.92% ซึ่งปรับลงมากกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ นอกจากนี้หากดูตามมูลค่าตลาดพบว่าหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่หรือกลุ่ม Large-cap ปรับลดลงน้อยที่สุดหรือลดลง 3.87% ขณะที่กลุ่ม Mid-cap stocks ลดลงถึง 5.07% และ Small-cap stocks ลดลง 6.56%

หากดูตามมูลค่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น พบว่าหุ้นคุณค่าหรือกลุ่ม Value ยังน่าสนใจลงทุนมากที่สุดเนื่องจากราคาซื้อขายในตลาดยังอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 9% ขณะที่กลุ่ม Growth stocks นั้นราคาปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว แต่หากแบ่งตามมูลค่าตลาดจะพบว่าหุ้นขนาดเล็กหรือกลุ่ม Small-cap น่าสนใจลงทุนมากที่สุด เนื่องจากราคาซื้อขายในตลาดยังอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 20% ตามมาด้วยหุ้น Mid-cap ที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 7% ขณะที่กลุ่ม Large-cap ปัจจุบันราคาซื้อขายอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว

คำแนะนำการลงทุนคือควรที่จะให้น้ำหนักการลงทุนที่มากหรือ Overweight ในหุ้นกลุ่ม Value และ Overweight หุ้นขนาดกลางและเล็ก และให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาดหรือ Underweight ในกลุ่ม Growth รวมไปถึงหุ้นขนาดใหญ่

Advertisment

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มเฮลท์แคร์

ราคาหุ้นในกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี และกลุ่มเฮลท์แคร์ ปรับลดลงอย่างมากในเดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ราคาหุ้นปรับลดลงเนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในช่วงดังกล่าวบอนด์ยีลด์หรัฐปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.4% ด้านหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีส่วนหนึ่งปรับลดลงจากผลประกอบการที่ประกาศออกมา ขณะที่กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ราคาหุ้นยังคงยืนอยู่ได้ดีกว่าตลาด แต่ภาพรวมของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือว่ายังซื้อขายอยู่ในระดับมูลค่าที่แท้จริง

ดังนั้นจึงแนะนำให้น้ำหนักการลงทุนเท่าตลาด (Market-weight position) ส่วนหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์นั้นโดยรวมราคาปรับลดลงเป็นส่วนใหญ่ทำให้ราคาปัจจุบันปรับลดลงมาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เราจึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาวและสอดคล้องไปกับแนวโน้มของสังคมผู้สูงวัยในอนาคต

หุ้นกลุ่มพลังงาน สาธารณูปโภค และกลุ่มอุปโภคบริโภค

ราคาหุ้นทั้ง 3 กลุ่มนี้ยังปรับขึ้นได้ดีหรือลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในเดือนที่ผ่านมา โดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปัจจุบันซื้อขายอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเพียง 3% แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ยังดี เราจึงแนะนำให้น้ำหนักลงทุนเท่าตลาดอยู่ (Market-weight position) สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นเพียง 3%

อย่างไรก็ดี การลงทุนในกลุ่มพลังงานก็ยังช่วยป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อสูงและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ ส่วนหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคบางส่วนได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาสินค้าที่ยากขณะที่ต้นทุนก็ปรับสูงขึ้น แต่อนาคตก็คาดว่าบริษัทเหล่านี้จะสามารถเพิ่มอัตรากําไรจากการดําเนินงานให้กลับสู่ระดับปกติได้จากการขึ้นราคาและเพิ่มประสิทธิภาพ

อุตสาหกรรมอื่น ๆ

โดยรวมหุ้นในกลุ่ม Communications ยังถือเป็นโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจ ทั้งนี้ Alphabet ยังซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 7%, Meta Platforms แม้ราคาจะยังสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานแต่ก็ปรับลดลงมามากแล้วจากช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ AT&T และ Verizon ก็ยังมีราคาที่อยู่ในระดับต่ำและให้เงินปันผลที่สูง นอกจากนี้หุ้นในกลุ่ม Materials อย่างเช่น Newmont Mining นอกจากราคายังต่ำแล้วยังมีโอกาสทำกำไรในระยะสั้นได้จากราคาทองคำที่สูงขึ้น (แม้ว่าราคาทองในระยะยาวเชื่อว่าจะไม่น่าสนใจก็ตาม) ส่วนกลุ่ม Industrials ราคายังอยู่ในระดับสูงจนเกินไปและควรให้น้ำหนักการลงทุนที่น้อย เช่น Saia และ XPO Logistics

 เศรษฐกิจยังโตช้าและเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดการณ์

มองไปข้างหน้าคาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐจะยังอ่อนแอต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่าแต่ละไตรมาสของปีนี้ GDP จะขยายตัว 1.00%-1.25% ต่อปี และขยายตัว 1.20% ในไตรมาสแรกของปี 2568 ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในระดับสูงในปีนี้ ทำให้การคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงเดือนกันยายนของปีนี้นั้นเป็นที่กดดันมากขึ้น

แต่ภาพรวมเราคาดว่าจากนี้อัตราเงินเฟ้ออาจจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนักจากคาดการณ์ราคาที่อยู่อาศัยในอนาคตเริ่มปรับลดลง และคาดว่าอัตราการเติบโตของการจ้างงานรวมไปถึงค่าแรงก็มีแนวโน้มปรับลงเช่นกันอันเนื่องมาจากภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงก็จะส่งผลต่อการบริโภคให้ชะลอลงอีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยและรถยนต์

คำแนะนำการลงทุน

สำหรับนักลงทุนระยะยาวในการจัดพอร์ตการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ เนื่องจากราคาหุ้นตอนนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงมูลค่าที่แท้จริงแล้วเราจึงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่ Market weight หรือให้น้ำหนักเท่าตลาดไปก่อน เนื่องจากภาพเศรษฐกิจยังเติบโตช้าในอีก 2-3 ไตรมาสจากนี้ ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนสูงขึ้นและในจังหวะที่ตลาดปรับลดลงมามากก็จะเป็นโอกาสให้นักลงทุนค่อยเพิ่มน้ำหนักลงทุนในระดับที่มากหรือ Overweight ได้

ทั้งนี้ Sector ที่น่าลงทุนและยังมีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ได้แก่ Real estate, Communications, Materials

สำหรับตราสารหนี้แนะนำให้ลงทุนเพื่อรักษาอัตราผลตอบแทนที่ยังอยู่ในระดับสูงในปัจจุบันไว้ก่อน เนื่องจากคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงในอนาคต และแนะนำให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเนื่องจากส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชน (High-yield) นั้นยังไม่มากพอที่จะชดเชยความเสี่ยงในการผิดนัดชำระได้มากพอ