ดึงสินค้า-บริการซอฟต์พาวเวอร์ ช่วยดันดัชนีอุตสาหกรรมหลังร่วงต่อเนื่อง

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หวั่นดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมร่วงต่อเนื่อง ล่าสุดเดือน พ.ค. 2567 ร่วงเหลือ 88.5 จาก 90.3 ของเดือนก่อน เหตุกำลังซื้อยังเปราะบาง แนะรัฐส่งเสริม SMEs หนุนซื้อสินค้าซอฟต์พาวเวอร์ไทย

วันที่ 19 มิถุนายน 2567 ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 88.5 ปรับตัวลดลงจาก 90.3 ในเดือนเมษายน 2567 เป็นผลมาจากกำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบาง เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงและสัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การบริโภคสินค้าชะลอลง

ขณะที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต รวมถึงอัตราค่าระวางเรือที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์ที่หมุนเวียนไม่ทัน ทำให้ระยะเวลาขนส่งนานขึ้น ส่วนนี้เป็นผลมาจากปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ที่เข้ามาแข่งขันในไทยและอาเซียนมากขึ้น ทำให้สินค้าไทยแข่งขันได้ยาก รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตร

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคมยังมีปัจจัยบวกจากความต้องการสินค้าในช่วงเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2567 อาทิ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า หนังและผลิตภัณฑ์หนัง รวมทั้งการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ขณะเดียวกันวิกฤตความมั่นคงทางด้านอาหารในหลายประเทศ ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าอาหารของไทย นอกจากนี้ผู้ประกอบการส่งออกยังได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ยังพบว่าความกังวลที่เพิ่มขึ้น คือเรื่องของราคาน้ำมันสัดส่วนถึง 61.3% เศรษฐกิจในประเทศ 59.9% สถานการณ์การเมืองในประเทศ 43.1%

Advertisment

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า จะอยู่ที่ระดับ 95.7 ปรับตัวลดลงจาก 98.3 ในเดือนเมษายน 2567 โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหา Geopolitics ในตะวันออกกลาง ส่งผลให้เกิดความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก และเกิดความล่าช้าในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนรอบใหม่ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น

ขณะที่ผู้ประกอบการ SMEs มีความกังวลต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ปี 2567 ภายหลังจาก พ.ร.บ.ประกาศใช้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี รวมถึงมาตรการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ และมาตรการภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง ตลอดจนการสนับสนุนให้อบรมสัมมนาจังหวัดเมืองรอง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโลว์ซีซั่น

เอกชนจึงขอให้ภาครัฐออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันและก๊าซ, เร่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์ที่หมุนเวียนไม่ทัน, ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อช่วยพัฒนาและต่อยอดธุรกิจ รวมถึงปรับปรุงเงื่อนไขและกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น

Advertisment

ตลอดจนการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และรัฐควรออกมาตรการส่งเสริมการซื้อสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์ของไทย โดยเฉพาะอาหารไทย เครื่องนุ่งห่มและสินค้ากีฬา เป็นต้น