ราคาพลังงานแพง ดันเงินเฟ้อไทย พ.ค. 2567 โต 1.54% สูงสุดในรอบ 13 เดือน

ราคาพลังงานแพง

สนค.เผยเงินเฟ้อไทยเดือนพฤษภาคม 2567 สูงขึ้น 1.54% สูงขึ้นในรอบ 13 เดือน นับตั้งแต่พฤษภาคมปี 2566 ที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญที่กระทบเงินเฟ้อ ค่ากระแสไฟฟ้า ราคาน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้น แต่ทั้งปี 2567 มั่นใจเงินเฟ้อไทยสูงไม่เกิน 1%

วันที่ 7 มิถุนายน 2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย (เงินเฟ้อ) เดือนพฤษภาคม 2567 เท่ากับ 108.84 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 1.54% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการสูงสุดในรอบ 13 เดือนนับตั้งแต่พฤษภาคมปี 2566 ที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญที่กระทบเงินเฟ้อ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราวจากฐานราคาที่ต่ำในปีก่อน น้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลก รวมถึงผักสด และไข่ไก่ เนื่องจากสภาพอากาศร้อนส่งผลให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ เดือนเมษายน 2567 พบว่า อัตราเงินเฟ้อของไทย สูงขึ้น 0.19% ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ

โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 6 จาก 129 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และอยู่ในระดับต่ำสุดในอาเซียนจาก 7 ประเทศที่ประกาศตัวเลข อาทิ สปป.ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ขณะที่ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เฉลี่ย 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม) ของปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ลดลง 0.13%

Advertisment

การเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการ

สำหรับหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 1.13% จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ กลุ่มอาหารสด อาทิ ผักสด (ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ มะเขือ กะหล่ำปลี ขิง ผักชี) ผลไม้สด (มะม่วง องุ่น กล้วยหอม) ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว ไข่ไก่ และไข่เป็ด กลุ่มอาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้าน (กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ข้าวราดแกง)

กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำหวาน) และกลุ่มเครื่องประกอบอาหาร (น้ำตาลทราย น้ำพริกแกง มะพร้าว (ผลแห้ง/ขูด)) ขณะที่ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร มะนาว ปลาทู น้ำมันพืช และกระเทียม เป็นต้น

หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 1.84% จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง (แก๊สโซฮอล์ 91 95 และ E20 น้ำมันเบนซิน 95) กลุ่มเคหสถาน (ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน) กลุ่มค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (แป้งทาผิวกาย ยาสีฟัน ค่าแต่งผมสตรี) กลุ่มยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (สุรา บุหรี่ ไวน์) อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ น้ำมันดีเซล ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว สบู่ถูตัว เสื้อยืดบุรุษและสตรี และเสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี เป็นต้น

เงินเฟ้อพื้นฐาน (เงินเฟ้อทั่วไป เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก) สูงขึ้นร้อยละ 0.39 (YOY) เร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเมษายน 2567 ที่สูงขึ้นร้อยละ 0.37 (YOY)

Advertisment

แนวโน้มเงินเฟ้อไทย

นายพูนพงษ์กล่าวอีกว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมิถุนายน 2567 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง คาดว่าอยู่ที่ 1-1.1% น้อยกว่าเดือนที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุสำคัญจาก (1) ผลกระทบจากฐานราคาต่ำของค่ากระแสไฟฟ้าลดลง (2) การต่ออายุมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของครัวเรือน อีก 4 เดือน (พ.ค.-ส.ค. 2567)

(3) ราคาพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะผักสดมีแนวโน้มลดลง หลังสิ้นสุดสภาพอากาศร้อนจัด และเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ และ (4) การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ระดับต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการมีข้อจำกัดในการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาขาย รวมทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่มีการทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย

ขณะที่ปัจจัยที่ทำให้สินค้าบางชนิดยังอยู่ในระดับสูง ได้แก่ (1) ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศ ซึ่งปรับมาอยู่ที่ 33.00 บาทต่อลิตร สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และ (2) ความไม่แน่นอนจากผลกระทบของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจทำให้ราคาน้ำมันและค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าปรับตัวสูงขึ้นตาม โดยยังมองว่าราคาน้ำมันยังเป็นปัจจัยกระทบและต้องจับตา แต่ทั้งนี้ยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะกระทบเท่าไร เพราะต้องดูราคาน้ำมันเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่าง 0.0-1.0% โดยมีค่ากลาง
0.5% ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้ง และคาดว่าเงินเฟ้อปีหลังจะกลับมาบวก ยังมั่นใจว่าเงินเฟ้อทั้งปีจะไม่เกิน 1% พร้อมทั้งปัจจัยที่มีผลกระทบ