![Somhathai Somhathai](https://www.prachachat.net/wp-content/uploads/2024/04/3-2-Somhathai--728x485.jpg)
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
อย่างที่ทราบกันดีว่า นักลงทุนต่างชาติเริ่มให้ความสนใจและหันไปลงทุนในเวียดนามมากขึ้น เพื่อใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีของเวียดนามที่มีจำนวนมากกว่า 50 ฉบับ และอาศัยจุดแข็งการเป็นตลาดสินค้าและตลาดแรงงานขนาดใหญ่เกือบ 100 ล้านคน
แต่นั่นนับได้ว่าเป็นโอกาสให้กับกลุ่มอมตะ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการไทยที่ไปลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม มาตั้งแต่ปี 2555 จนปัจจุบันมีนิคม 4 แห่งใน 3 จังหวัด คือ กวางหนิง ดองไน และกวางจิ ครอบคลุมพื้นที่ 3,000 เฮกตาร์ “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “สมหะทัย พานิชชีวะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) ถึงทิศทางการลงทุนในเวียดนาม ปี 2567
- สภาออกประกาศ เพิ่มเงินประจำตำแหน่งข้าราชการ 7 สายงาน
- เปิด 70 ตัวอักษร ป้ายทะเบียนรถใหม่ ประกาศใช้แล้ว มี “ไข่เจียว” ด้วย
- คลังเล็งประกาศลงทะเบียน แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน ทางรัฐ ก.ค.นี้
ภาพการลงทุนในเวียดนาม
“ปีที่ผ่านมา เวียดนามมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้าไปจำนวนมาก ปีก่อน มากถึง 37,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ใหญ่กว่าเราเยอะ และมาจากหลายประเทศ จีน และยังมียุโรป และอเมริกาก็เข้า หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไป Visit ทำให้เขาวางเป้าหมายจะเป็นฮับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ เพราะมีความแข็งแรงด้วยคนที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และยังมีแร่หายาก (แรร์เอิร์ท) ที่เป็นตัวช่วย”
ส่วนแนวทางดึงดูดการลงทุนของเวียดนามนั้นจะไม่ได้วางกรอบว่าเน้นส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายอะไร ดึงการลงทุนอุตสาหกรรมอะไร แต่จะบอกว่าการส่งเสริมการลงทุนใดๆ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของทำเล เพราะประเทศเวียดนามมีขนาดใหญ่มาก สามารถรับการลงทุนได้ทุกอุตสาหกรรม
เร่งแก้ความท้าทายนักลงทุน
ปัญหาไฟดับของเวียดนาม เกิดที่ภาคเหนือซึ่งใช้ไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนเป็นหลัก แต่กลางปีนี้ถ้าเป็นไปตามแผนงาน คือจะมีกริด (สายส่ง) วิ่งจากภาคใต้ขึ้นไปภาคเหนือ ขนาด 500 KV ปัญหานี้จะคลี่คลาย
ส่วนประเด็นเรื่องจีโอโพลิติกส์ สำหรับนักลงทุนที่ตัดสินใจไปลงทุนในเวียดนามไม่มีผลกระทบอะไร เพราะด้วยความที่สหรัฐไม่ต้องการให้จีนกลืน จึงเข้ามาสนับสนุนเวียดนามอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ หรือแม้แต่ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ก็มีการขยายการลงทุนเข้ามาเช่นกัน เพราะเวียดนามมีชายแดนติดจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่
“นโยบายด้านการดึงดูดการลงทุนของเวียดนามถือว่าการดำเนินนโยบายมีความมั่นคง แข็งแกร่งมากที่สุด โดยโฟกัสชัดเจนว่าประเทศต้องการอะไร ก็มีการดำเนินนโยบายไปทิศทางเดียวกัน เช่น การไปทำเอฟทีเอก็มีความรวดเร็ว 60 ประเทศแล้ว และค่าแรงก็ถูกกว่า การดูแลเงินเฟ้อทำได้ดีมาก จากที่เคย 13% ตอนนี้เหลือ 4% รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายลดเงินเฟ้อได้ทันทีโดยการใช้ยาแรง”
โอกาสธุรกิจนิคมในเวียดนาม
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมถูกมองว่าเป็นธุรกิจด้านสาธารณูปโภคที่จะสร้างการพัฒนาให้กับประเทศ จึงได้มีนโยบายที่ให้การสนับสนุนเป็นลำดับต้น ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม จากภาพความน่าสนใจในการลงทุนในเวียดนาม จึงทำให้ภาพการแข่งขันในธุรกิจนิคมของเวียดนามสูงขึ้น โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการลงทุนนิคมอุตสาหกรรม ประมาณ 400 นิคม ซึ่งหลัก ๆ จะมาจากการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศมีประมาณ 4-5 รายใหญ่ ในส่วนของไทยมีอมตะเป็นหนึ่งในสองรายที่เข้าไปลงทุน ส่วนที่เหลือจะเป็นญี่ปุ่น 2 ราย
แผนอมตะเวียดนามปีนี้
ในช่วง 3 ปีนี้ มุ่งจะพัฒนาและทำตลาดนิคมที่มีทั้งในภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง 4 นิคม ถือว่าเต็มมือที่ต้องขาย และยังต้องพัฒนาสาธารณูปโภคที่ทำเองทั้งหมด
ส่วนแผนการขยายโครงการใหม่ ๆ ยังคงต้องมีการเตรียมพร้อมอยู่ โดยการวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ ๆ จะต้องใช้เวลา 3-5 ปี โดยเฉพาะกระบวนการขออนุญาตและการออกเอกสารต่าง ๆ
กลยุทธ์ดึงลงทุน 3 นิคม
แผนการดึงดูดนักลงทุนของอมตะ มีการวางแนวทางว่า ภาคใต้เน้นไฮเทค ภาคเหนือได้ทุกอุตสาหกรรม แต่ลูกค้าที่มามักจะเป็นออโตพาร์ท อิเล็กทรอนิกส์ โรบอต ยังไม่มีคอนซูเมอร์โปรดักต์ หรือเกษตร ส่วนนิคมภาคกลางเน้นรับอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานเยอะ ราคาถูก ๆ
ฉะนั้น ในเวียดนาม ทั้ง 4 นิคมจะมีราคาแตกต่างกัน โดยภาคใต้เน้นพรีเมี่ยมราคาสูง ภาคเหนือระดับราคากลาง ๆ และภาคกลางราคาถูกที่สุด
จุดแข็งเชื่อมระบบโลจิสติกส์
จุดเด่นที่สำคัญอีกด้านของนิคม คือ ความสะดวกในด้านการเชื่อมโยงการขนส่งโลจิสติกส์ โดยเฉพาะนิคมในภาคใต้และภาคกลางห่างจากท่าเรือน้ำลึกประมาณ 30 กม. และห่างจากสนามบิน 30-35 กม. โดยเฉพาะนิคมลองถั่น ห่างสนามบินลองถั่นแค่ 10 กม.
ส่วนนิคมในภาคกลางที่เป็นนิคมใหม่ ซึ่งไม่ได้ติดกับเมืองใหญ่ แต่เป็นทำเลที่คาดหวังว่าจะใกล้กับท่าเรือน้ำลึกในอนาคต
เป้าการขายเติบโต 20-40%
ปีนี้ตั้งเป้าหมายการขายให้เติบโต 20-40% ของมูลค่าสุดท้าย ซึ่งเทรนด์การลงทุนในปีนี้ นักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามก็มุ่งลงทุนในนิคมที่สามารถจัดหาพลังงานหมุนเวียนให้ได้ ซึ่งทางนิคมต้องเตรียมพร้อม
โดยเวียดนามมีความเข้มแข็งด้านพลังงานลม แต่ยังอยู่ระหว่างการรอความชัดเจนว่า รัฐบาลจะอนุญาตให้ Direct Power Agreement เช่น ทำโซลาร์ฟาร์มไม่ได้อยู่ในนิคม ก็ต้องส่งไฟฟ้ามา ผู้ผลิตต้องการขายไฟโดยตรงให้กับโรงงาน โดยผ่านกริดของ EVN โดยไม่ต้องมาทำโซลาร์ใกล้ ๆ ซึ่งคาดว่าปีนี้น่าจะเป็นไปได้ เพราะรัฐบาลเวียดนามฟังเสียงนักลงทุน และจากการที่รัฐบาลไปประชุมที่กลาสโกว์ ซึ่งได้มีการประกาศเรื่อง การเป็นคาร์บอนนิวทรอล ในปี 2050 ทำให้ทุกภาคส่วนมุ่งดำเนินการไปในทิศทางนั้น