การเมืองกดดัน “SET” ลุ้นศาลตัดสิน 2 คดีสำคัญ

colleagues
คอลัมน์ : เช็กกระแสหุ้น

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา (24-28 มิ.ย.) แกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ ต้นสัปดาห์ดัชนี SET ฟื้นตัวยืนเหนือ 1,300 จุดได้ จากการแถลงข่าวสร้างความเชื่อมั่นของกระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่ปลายสัปดาห์ดัชนีตกลงหลุด 1,300 จุดอีกครั้ง

โดย “สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา” นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ชี้ว่า หุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นหลัก ๆ ถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาณการชะลอตัวลง หรืออาจจะเรียกว่ามีการฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า

ขณะที่ภาพหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ข้างหน้านี้ (1-5 ก.ค.) “สิทธิชัย” คาดว่าประเด็นการเมืองน่าจะเป็นตัวกดดันอยู่ในระดับหนึ่ง เพราะมี 2 คดีสำคัญ คือ วันที่ 3 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการวินิจฉัยกรณีให้ยุบพรรคก้าวไกล และวันที่ 10 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคุณสมบัติ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จากประเด็นการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

จึงคาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ

อย่างไรก็ดี มองว่าดัชนี SET ไม่น่าจะหลุด 1,300 จุด หากสถานการณ์การเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,300-1,310 จุด

Advertisment

ส่วนกลยุทธ์ลงทุน แนะนำ เน้นหุ้นเชิงรับ ที่มีผลกระทบกับปัจจัยภายนอกค่อนข้างจำกัด และอาจมองถึงมาตรการ Uptick ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 เป็นต้นไป ดังนั้นอาจจะมีหุ้นถูก Cover Short ขึ้นมา เช่น HANA, KCE, AOT, BEM, SCGP เป็นต้น

ขณะที่ภาพหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ข้างหน้านี้ (1-5 ก.ค.) “สิทธิชัย” คาดว่าประเด็นการเมืองน่าจะเป็นตัวกดดันอยู่ในระดับหนึ่ง เพราะมี 2 คดีสำคัญ คือ วันที่ 3 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการวินิจฉัยกรณีให้ยุบพรรคก้าวไกล และวันที่ 10 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคุณสมบัติ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จากประเด็นการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

จึงคาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ

อย่างไรก็ดี มองว่าดัชนี SET ไม่น่าจะหลุด 1,300 จุด หากสถานการณ์การเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,300-1,310 จุด

Advertisment

ส่วนกลยุทธ์ลงทุน แนะนำ เน้นหุ้นเชิงรับ ที่มีผลกระทบกับปัจจัยภายนอกค่อนข้างจำกัด และอาจมองถึงมาตรการ Uptick ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 เป็นต้นไป ดังนั้นอาจจะมีหุ้นถูก Cover Short ขึ้นมา เช่น HANA, KCE, AOT, BEM, SCGP เป็นต้น