เชฟโรเลตขยายตลาดเอสยูวี ลั่นเดินถูกทางลุยไซซ์เล็กก่อนมอเตอร์โชว์

เชฟโรเลต พร้อมส่งเอสยูวีไซซ์เล็กเสริมทัพอีกรุ่น เผยยอดขายเดือน ธ.ค. 2561 ทุบสถิติสูงสุดในรอบ 4 ปี เชื่อเดินถูกทาง หยุดเก๋งหันบุกปิกอัพ-เอสยูวี สอดรับกับกระแสโลก 

นางสาวปิยะนุช จตุรภัทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาเครือข่าย บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแผนดำเนินธุรกิจของเชฟโรเลตในประเทศไทย ว่า เร็ว ๆ นี้ จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดในประเทศไทยอีก 1 รุ่นก่อนงานมอเตอร์โชว์ที่จะจัดขึ้นในเดือนมีนาคมซึ่งเป็นรถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีขนาดเล็ก (บี-เอสยูวี) เพื่อเจาะตลาดลูกค้าชาวไทยและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์เชฟโรเลตในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

“4 ปีที่แล้วหรือเมื่อปี 2558 เราได้ประกาศนโยบายโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่เพื่อให้การเติบโตในระยะยาวและเพิ่มรายได้แก่ธุรกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการปรับโครงสร้างที่จีเอ็มเตรียมดำเนินการทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความแข็งแกร่งของแบรนด์เชฟโรเลตในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจีเอ็มปรับเปลี่ยนกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อทิศทางของตลาดและความต้องการของลูกค้า โดยในแบรนด์เชฟโรเลตได้ยุติบทบาทผลิตและจำหน่ายรถยนต์นั่ง หันมามุ่งเน้นปิกอัพ-เอสยูวี และพีพีวี”

แนวทางนี้สอดคล้องกับเทรนด์และความต้องการของลูกค้าจริง ๆ รถยนต์ทั้ง 2 กลุ่มนี้ จะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และฐานการผลิตรถปิกอัพที่สำคัญของโลกก็อยู่ในประเทศไทยด้วย ขณะที่รถในกลุ่มเอสยูวี และพีพีวี ก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

“ตอนนี้ลูกค้าไม่ได้แยกกลุ่มรถเอสยูวีกับพีพีวีแล้ว ซึ่งเราเองได้พบว่า ลูกค้าเอสยูวีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากสัดส่วนการขายของรถประเภทนี้ในตลาดรวมที่มีเพียงเล็กน้อยเพียง 4-5% แต่วันนี้โตขึ้นไปในระดับเลข 2หลักแล้ว”

ส่วนรถเอสยูวีรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในเร็วนี้ บริษัทยังไม่ยืนยันว่าไม่ใช่ blazer ซึ่งตัวนั้นเป็นครอสโอเวอร์ แต่ตัวใหม่นี้จะเป็นเอสยูวีไซซ์เล็ก ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเบื้องต้นจะเป็นการนำเข้ามาเพื่อทำตลาดก่อน ส่วนการขึ้นไลน์ประกอบในประเทศไทยหรือไม่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา

นอกจากนี้ ในส่วนของแนวโน้มตลาดรถปิกอัพขนาด 1 ตันนั้น ปีนี้เชื่อว่าตลาดจะมีการเติบโต แต่ไม่สูงมากนัก เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดรถยนต์โดยรวมที่คาดว่าจะมียอดขายที่ 9.8 แสน ถึง 1 ล้านคัน แต่ทั้งนี้ ต้องจับตาปัจจัยบวก ก่อนช่วงการเลือกตั้ง ว่าจะมีผลกระตุ้นตลาดได้มากน้อยเพียงใดประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลาย ๆ ตัวยังไม่ดีเท่าที่ควร

ส่วนเชฟโรเลตเองมีนโยบายในการทำตลาดรถปิกอัพขนาด 1 ตัน โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มรถ 4 ประตู ส่วนรถในกลุ่มปิกอัพหัวเดียวนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมการขนส่งและเกษตร บริษัทจะไม่เน้นเท่าที่ควร เนื่องจากการศึกษาตลาดในช่วงที่ผ่านมา พบว่าพฤติกรรมลูกค้ารถปิกอัพ 4 ประตู แบบยกสูงจะมีการเปลี่ยนรถคันใหม่เร็วกว่ารถปิกอัพหัวเดียวที่จะเน้น

การใช้งานเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ดังนั้น ทำให้บริษัทมองว่าตลาดรถปิกอัพ 4 ประตู แบบยกสูงยังคงเป็นตลาดหลัก

ขณะที่ความสำเร็จของบริษัทในปี 2561ที่ผ่านมา ปรากฏว่าเชฟโรเลตมียอดขายทั้งสิ้น 20,313 คัน โต 8.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเฉพาะในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มียอดขาย 3,066 คัน ถือเป็นการทำลายสถิติยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2557 ที่ผ่านมา ขณะที่สัดส่วนการขายของรถปิกอัพ อยู่ที่ 85% และรถพีพีวี-เอสยูวี อยู่ที่ 15% ซึ่งเชื่อว่าหลังบริษัทส่งเอสยูวี รุ่นใหม่ ออกสู่ตลาดน่าจะทำให้สัดส่วนการจำหน่ายมีความเปลี่ยนแปลง และส่วนแบ่งของรถเอสยูวีจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ด้านความคืบหน้าหลังจากบริษัทแม่ได้ประกาศปิดโรงงาน 5 แห่งในสหรัฐอเมริกา และเตรียมยกเลิกไลน์ผลิตรถยนต์อีกหลายรุ่น โดยจะมี 2 โรงงาน


ที่นอกเหนือจากอเมริกาเหนือที่จะต้องปิดตัวลง บริษัทขอยืนยันว่าผลกระทบดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทยแต่อย่างใด เนื่องจากประเทศไทยได้มีการปรับตัวไปก่อนหน้าเพื่อรับกับเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงนี้ ประกอบกับความแข็งแรงของฐานการผลิตในประเทศไทย สำหรับตลาดรถปิกอัพ 1 ตัน ถือเป็น 1 ใน 3 ของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, บราซิล และไทยนั้นถือเป็นปัจจัยบวกที่แข็งแรงสำหรับเชฟโรเลตประเทศไทย ประกอบกับรถยนต์ที่ผลิตจากประเทศไทยมีการส่งออกไปกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ทั้งออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง เม็กซิโก ฯลฯ ดังนั้นบริษัทขอยืนยันว่าโรงงานที่ จ.ระยอง และเชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จะไม่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน