‘สนั่น’ มองไทยฝ่า 4 ความท้าทาย ลุ้น Digital wallet ช่วยดันเศรษฐกิจไทย ปี 67 โต 3%

สนั่น มองไทยฝ่า 4 ความท้าทาย ลุ้น Digital wallet ช่วยดันเศรษฐกิจไทยปี 67 โต 3% เดินหน้า ภารกิจ 1 ปีทิ้งท้าย ดัน 5 บิ๊กโปรเจค ก่อนส่งไม้ต่อ ‘พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ‘ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 รับไม้ต่อ ปี 2568

วันที่ 20 เมษายน 2567 หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขับเคลื่อนองค์กรผ่าน 3 Core Value Chains ได้แก่ ด้านการค้าการลงทุน ด้านเกษตรและอาหาร ด้านท่องเที่ยวและบริการ ด้วยแนวทาง Connect the Dots ที่เชื่อมโยงการทำงานจากเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้การนำของนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ คนที่ 25 ภายหลังจากได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ในสมัยที่ 2 ได้สร้างความเชื่อมั่นภายในองค์กร จนสามารถระดมสมาชิกจาก 1 แสนราย เพิ่มขึ้นเป็น 1.4 แสนราย และตั้งเป้า 2 แสนราย ภายในปี 2568

ถอดบทเรียนโควิด

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เผชิญความท้าทายที่หลากหลาย ทำให้หอการค้าฯ เข้าไปมีบทบาทกับสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำภาคเอกชนที่ดึงทุกภาคส่วนมาช่วยกันแก้ไขและยกระดับเศรษฐกิจ เริ่มจากการแก้วิกฤตโควิด-19 ที่เริ่มระบาดในต้นปี 2563 โดยระดมความร่วมมือ 40 CEO จากบริษัทใหญ่ของประเทศ ตั้งคณะทำงาน 4 ทีม สนับสนุนการฉีดวัคซีนร่วมกับรัฐบาล พร้อมตั้งศูนย์ฉีดวัคซีน 25 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ภาครัฐเร่งจัดหาวัคซีน และกระจายรูปแบบการบริหารจัดการไปทุกจังหวัด ตลอดจนเสนอแนะแนวทางเยียวยา ช่วยเหลือ และกระตุ้นเศรษฐกิจ นำไปสู่การเปิดประเทศอย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับนานาชาติ ในอีกหลายประเทศ อาทิ ซาอุดิอาระเบีย ที่หอการค้าฯ เป็นองค์กรภาคเอกชนองค์กรแรกที่เปิดสัมพันธ์ ในรอบ 32 ปี จับมือกับภาคอุตสาหกรรมเวียดนาม ดันเศรษฐกิจสองประเทศเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ เปลี่ยนคู่แข่งให้เป็นคู่ค้า ตั้งเป้าหมายสร้างมูลค่าการค้า 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2025

ขณะเดียวกัน หอการค้าฯ ยังได้ทำงานร่วมกับสถานทูตจีนอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ทั้งในอุตสาหกรรม EV Car Technology ตลอดจนสถานบันการเงิน อีกหนึ่งบทบาทที่สำเร็จคือการสร้าง Successor คนรุ่นใหม่ขับเคลื่อนองค์กรและเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการจัดตั้ง YEC หอการค้าไทยขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว โดยปัจจุบันมี YEC ทั่วประเทศกว่า 7 พันคน เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาแต่ละจังหวัด เปลี่ยนภาพลักษณ์หอการค้าฯ จากคนรุ่นเก่า สู่ คนรุ่นใหม่ที่มี Global mindset เป็นนักรบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตต่อไป

เศรษฐกิจไทยฝ่า 4 ความท้าทาย

นายสนั่น ยังกล่าวถึงสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้ แต่ยังไม่สามารถกลับมาเติบโตได้เต็มศักยภาพ สะท้อนได้ชัดจาก 10 ปีที่ผ่านมา GDP ประเทศไทย เติบโตเฉลี่ยเพียง 1.9%

ดังนั้น หอการค้าไทยจึงได้เสนอ 4 แผนรับมือความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันรับมือ เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวเต็มศักยภาพ ได้แก่ 1) Geopolitical Challenge ปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย – ยูเครน อิสราเอล – ฮามาส และ อิหร่าน – อิสราเอล เหล่านี้ส่งผลกดดันให้กับต้นทุนน้ำมัน และค่าขนส่งของโลก รวมถึงความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

แต่หากไทยสามารถวาง Position เป็นกลางได้ จะเป็นโอกาสในการเร่งดึงดูด FDI ใหม่ ๆ เข้ามา เปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่เราเก่ง แต่เป็นสินค้าที่โลกเริ่มไม่ต้องการ ไปสู่ New Industry เช่น EV Car เกษตรแม่นยำที่ใช้เทคโนโลยีเพิ่ม Productivity ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการทำงานอย่างจริงจังของรัฐบาลในการวางนโยบาย Ease of Doing Business ขณะเดียวกันปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ อาจเป็นโอกาสทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวโดดเด่น โดยหอการค้าฯ ชูแนวทาง Trade & Travel และมั่นใจว่านักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ถึง 35 ล้านคน

2) Technology Challenge ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญกับเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ปัจจุบัน Advanced ICT Skills ของแรงงานไทยมีเพียง 1% เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมีคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยี อย่างน้อย 10% ของประเทศ หรือประมาณ 5 ล้านคน

3) Population Challenge ปัญหาสังคมผู้สูงอายุจากอัตราการเกิดของเด็กไทยน้อยกว่าอัตราการตาย ส่งผลให้ประเทศจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านคน ยิ่งทำให้วัยแรงงานของไทยลดน้อยลง แม้ว่ารัฐบาลและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะเร่งส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้นแต่แนวทางดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลา ดังนั้นในระยะเร่งด่วนรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดึงดูดคนเก่งเข้ามาทำงานและมาอยู่ในประเทศ ผ่านการจัดทำ Talent Immigration Policy ศึกษาแนวทางการให้สัญชาติกับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ (Talent) หรือ Golden Visa ที่ง่ายและสะดวกมากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มจำนวนประชากรในภาคแรงงานที่ขาดแคลน และได้คนเก่งเข้ามาร่วมพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

4) Climate Change Challenge ไม่ใช่แค่เป็นเทรนด์ของโลก แต่เป็นปัญหาที่ทุกคนรับรู้ได้ ทั้งปัญหาน้ำท่วม – น้ำแล้ง – ภัยแล้ง – PM 2.5 ล้วนแล้วแต่กระทบภาคเกษตร และ ภาคการท่องเที่ยว การให้ความสำคัญกับแนวทาง SGDs และ ESG จึงเป็นทางรอดของการปรับตัว และหากไทยปรับตัวช้าอาจต้องเจอกับ Non-Tariff Barriers เช่น CBAM, IUU Fishing ดังนั้น การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เกิดการปรับตัวให้ทันตามเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero จึงจำเป็นต้องขยาย Scales จากเล็กไปใหญ่ โดยภาคธุรกิจเอกชนที่มีศักยภาพพร้อมสร้างมาตรฐานให้ SMEs ภายใต้ Value Chains

“ซึ่งหอการค้าฯ เชื่อว่า 4 ความท้าทาย ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ ภาครัฐ เอกชน ประชาชน ต้องมีส่วนช่วยกันขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม”

ภารกิจ 1 ปีก่อนหมดวาระ

นายสนั่น กล่าวถึง ภารกิจ 1 ปีสุดท้ายในฐานะบิ๊กบอสหอการค้าฯ ก่อนหมดวาระการดำรงตำแหน่งในปี 2568 ไว้อีกว่า การผลักดัน GDP ให้โตไม่ต่ำกว่า 3% เป็นเรื่องที่ท้าทายและหลายโจทย์ยังต้องช่วยกันแก้ไข หอการค้าฯ ยังมีแผนที่จะขับเคลื่อน Flag ship Project ร่วมกับรัฐบาล เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตได้ถึง 3% และเป็นภารกิจอีก 1 ปีที่เหลือของคณะกรรมการชุดที่ 25 ที่จะขับเคลื่อนให้สำเร็จ 5 เรื่อง ได้แก่

1. ยกระดับ 10 จังหวัดสู่เมืองหลัก ได้แก่ แพร่ ลําปาง ราชบุรี นครศรีธรรมราช ตรัง นครพนม ศรีสะเกษ นครสวรรค์ จันทบุรี และกาญจนบุรี เป็นแนวคิดริเริ่มที่หอการค้าฯ ร่วมกับภาคธุรกิจที่มีศักยภาพผลักดันจังหวัดใหม่ ๆ โดยมีเป้าหมายสร้างการเติบโตจากภายในประเทศ ผ่านการกระจายความเจริญให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น ผ่าน 3 แนวทางการทำงาน คือ 1) Unlock Potential 2) การสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ทั้งการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค (น้ำประปา ไฟฟ้า Speed Internet)

3. การช่วยเหลือเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ด้วยการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยให้ทั่วถึง เพิ่มรายได้ให้ SMEs โดยนายกรัฐมนตรี คุณเศรษฐา ทวีสิน ได้มีการรับฟังข้อเสนอหอการค้าฯ และเห็นชอบกับแนวทางดังกล่าว โดยได้จัดตั้งคณะทำงานการขับเคลื่อนการยกระดับเมือง และมอบหมายให้ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุรเดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฯ โดยมี หอการค้าไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน เริ่มลงพื้นที่ Kick off จังหวัดนครพนมเป็นโมเดลต้นแบบในการริเริ่มโครงการฯ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมา และมีแผนเปิดตัวให้ครบทั้ง 9 จังหวัดที่เหลือภายในปีนี้

2. ยกระดับผู้ประกอบการ SMEs เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจำเป็นต้องอาศัยศักยภาพของ SMEs ที่มีมากสุดของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา SMEs บางส่วนพึ่งเริ่มฟื้นตัว แต่ปัญหาหลักของ SMEs ไทย ในวันนี้ คือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหมุนเวียนที่ยังยากลำบาก ส่วนนี้หอการค้าไทย จะเข้ามาช่วยหารือกับภาครัฐและสถาบันการเงิน ผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น

พร้อมส่งเสริม Digital Transformation นำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกัน หอการค้าฯ กกร. และ TMA จัดทำโครงการ FAST SMEs “Enhancing SMEs Capability for Competitiveness” สร้างต้นแบบ SMEs ภาคเกษตรสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืน นำร่องคัดเลือก SMEs กลุ่มเกษตรและอาหาร จำนวน 10 ราย เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านกระบวนการอบรม Coach Mentor กิจกรรมการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ การศึกษาดูงานต้นแบบการจัดการธุรกิจด้านนวัตกรรมอาหารที่ประสบความสำเร็จ เป็นต้น

นอกจากนี้ หอการค้าฯ ยังมีการหารือ Food Valley Netherland เพื่อยกระดับ Productivity ภาคเกษตร เพิ่มรายได้ รวมถึงมีแผนจะไปหารือ กับ Italy Chamber of Commerce และ MOU กับหน่วยงานของอิตาลี ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้ โดยมีเป้าหมายยกระดับ SMEs ให้สามารถสร้าง Value added การสร้าง Brand ต่อยอดการยกระดับสินค้า Fashion โดยเฉพาะผ้าไหมไทยที่ทางอิตาลีจะมาช่วยพัฒนาคุณภาพให้เหมาะสมกับการออกแบบและใช้งานจริง

ข้อสังเกต digital wallet

3. การให้ข้อเสนอแนะต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ให้รวดเร็วและมากที่สุดภายใต้ระยะเวลา 5 เดือน จะช่วยให้เม็ดเงินกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ขณะเดียวกันการที่รัฐบาลได้แถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Digital Wallet

หอการค้าฯ มีข้อสังเกตใน 3 ประเด็นใหญ่ๆ ดังนี้ 1) จากการดำเนินการของ Digital Wallet ที่จะเลื่อนไปเป็นไตรมาสที่ 4 นั้นทางหอการค้าฯ มองว่า”จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าไป” ซึ่งหากเป็นไปได้ อยากจะให้มีเร่งจัดสรรงบประมาณปี 67 โดยจัดสรรให้ “เฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนก่อน” แล้วค่อยให้กลุ่มที่เดือดร้อนน้อยที่เหลือตามมาในระยะต่อไป ก็จะช่วยเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้มากกว่าการรอต่อไปในไตรมาส4

2) สำหรับประเด็นการจัดทำ Appication ใหม่ (Super App) ส่วนนี้หอการค้าฯ เคยเสนอเรื่องการใช้ App เป๋าตัง เพราะประชาชนคุ้นเคย ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถเข้าถึงประชาชนได้ และทำได้เร็ว หากนำ super app มาใช้จะทำให้เกิดความยุ่งยากกับประชาชน และอาจจะเกิดความล่าช้า เพราะต้องไปทั้งเขียนและทดสอบระบบใหม่

3) ประเด็นเงินหมุนเวียนในจังหวัด ที่ต้องใช้ร้านค้าที่ลงทะเบียน ส่วนนี้อยากให้รัฐบาลเปิดโอกาส และมีมาตรการจูงใจให้ร้านค้าที่ยังไม่เข้าระบบภาษี ได้เข้ามาเป็นทางเลือกให้ประชาชน (เพราะกลุ่มนี้อาจจะกังวลเรื่องภาษี) ก็จะทำให้โครงการนี้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม โครงการ Digital Wallet จะประสบผลสำเร็จและมีความสัมฤทธิ์ผลมาก ได้อยู่ที่ดำเนินการได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี การใช้เงินในพื้นที่จะเกิดการหมุนเวียนเร็วและหลายรอบ

นอกจากนี้ รัฐบาลควรมีให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนผู้ประกอบการและประชาชน เสริมด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ ควบคู่กันไปเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเดินฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

4. การผลักดันบทบาทไทยสู่เวทีระดับนานาชาติ หอการค้าฯ เห็นด้วยกับรัฐบาลไทยที่สมัครสมาชิก OECD อย่างเป็นทางการ ซึ่งประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเข้าเป็นสมาชิก OECD คือ การยกระดับมาตรฐานประเทศไทยให้เป็นสากลมากยิ่งขึ้นในหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความโปร่งใส ตลอดจนยกระดับในด้านกฎหมาย

ลุยเปิดตลาด เป้าหมาย 6 ประเทศ

สำหรับ การยกระดับการค้าระหว่างประเทศ หอการค้าฯ วางเป้าหมายส่งเสริมการค้ากับประเทศยุทธศาสตร์หลัก Strategic Countries 6 ประเทศ ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ 1) ประเทศจีน ที่ทำงานร่วมกับสถานทูตจีนอย่างใกล้ชิด สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ทั้งในอุตสาหกรรม EV Car Technology ตลอดจนสถานบันการเงิน

2) ประเทศสหรัฐอเมริกา ภาคเอกชนไทยทำงานใกล้ชิดกับภาคเอกชนสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา เช่น The U.S. Chamber of Commerce, Trade Winds, คณะผู้แทน Port of Long Beach, สมาชิกสภาผู้แทนสหรัฐ และมีแผนจัดงาน THAILAND U.S. TRADE AND INVESTMENT CONFERENCE 2024 กับ U.S. Chamber และ AMCHAM

3) ประเทศเวียดนาม หอการค้าไทยจับมือกับภาคอุตสาหกรรมเวียดนาม ดันเศรษฐกิจสองประเทศไทยตามเป้าหมายการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เปลี่ยนคู่แข่งให้เป็นคู่ค้า

4) ประเทศอินเดีย เป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงมาก โดยเฉพาะในสาขาธุรกิจก่อสร้าง บริการระบบสาธารณูปโภค บริการโรงแรมและสปา เทคโนโลยีการผลิตอาหารแปรรูป บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมเกษตร

5) ประเทศซาอุดีอาระเบีย หอการค้าฯ เป็นองค์กรภาคเอกชนองค์กรแรกที่เปิดสัมพันธ์ ในรอบ 32 ปี โดยทำงานใกล้ชิดกับ Saudi Chambers of Commerce และภาคเอกชนซาอุดีอาระเบีย รวมถึงมีการ MOU กับภาคเอกชนซาอุดีอาระเบีย พร้อมทั้งจัดตั้งสภาธุรกิจขึ้นทั้ง 2 ประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกัน

6)ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นมิตรประเทศสำคัญของไทยที่หอการค้าฯ จะร่วมกับรัฐบาล สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ICE มาสู่ Hybrid และ EV ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยยังคงเติบโตและกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาค

นอกจากนี้ หอการค้าไทยและสถานทูตไทยในประเทศเวียดนาม ยังได้จัดตั้งโมเดลการทำงานภายใต้รูปแบบ Team Thailand Plus ดึงการมีส่วนร่วมของสถานทูต หน่วยงานภาครัฐของไทย ภาคเอกชนไทยที่ลงทุนในเวียดนาม ประชุมหารือแบ่งปันข้อมูล แนวทาง กฎระเบียบ รวมถึงการประสานหน่วยงานรัฐของเวียดนาม เพื่อช่วยกันส่งเสริมภาคธุรกิจให้แข่งขันในตลาดเวียดนามได้

ทั้งนี้ ท่านรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร เห็นถึงความสำเร็จของโมเดลนี้ และอยากให้หอการค้าฯ ช่วยขยายผลรูปแบบการทำงานของ Team Thailand Plus กับประเทศอื่น ๆ ต่อไป

5. การใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำงานร่วมกับ Technology Provider และ Technology Companies ที่ผ่านมาหอการค้าฯ พยายามผลักดันหน่วยงานราชการร่วมกับ กพร. ในการจัดทำ E-Government ในแต่ละหน่วยงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน ลดต้นทุนประชาชนและผู้ประกอบการในการติดต่อส่วนราชการ และงบประมาณภาครัฐเพื่อให้เกิดความโปร่งใส

โดยตัวอย่างความสำเร็จได้มีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลนิติบุคคลของ 8 หน่วยงานภาครัฐ ซึ่งช่วยลดขั้นตอนและต้นทุนในการให้บริการภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น ครอบคลุมกว่า 500 กระบวนงาน ถือเป็นอีกหนึ่งต้นแบบความสำเร็จในการนำระบบดิจิทัลเข้ามาใช้ในระบบการให้บริการภาครัฐ

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังได้ประกาศก้าวสู่ความเป็นเลิศด้าน AI Integrated University ตั้งเป้าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท พัฒนาหลักสูตร AI ไม่เพียงแค่การเปิดสอนหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ AI มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้นำ AI มาบูรณาการในมิติการเรียนการสอนและการให้บริการ หรือ AI – UTCC เพื่อยกระดับคุณภาพและความสามารถของบัณฑิตไทยให้พร้อมสู่ตลาดแรงงาน

เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยให้ก้าวไปยืนอยู่ในตลาดระดับโลก อีกทั้ง จับมือกับ Harbour Space university สร้าง Harbour Space@UTCC ตั้งเป้าสร้าง New Young Talent 1 หมื่นคนภายใน 10 ปี

เตรียมส่งไม้ต่อ พจน์ อร่ามวัฒนานนท์

นายสนั่น กล่าวทิ้งท้ายได้ว่า หลังจากนี้ทุกฝ่ายคงต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นซึ่งหากใครสามารถขับเคลื่อน Digital wallet ได้จะมีส่วนช่วยดันเศรษฐกิจไทย 0.5% และช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ตามเป้าหมาย 3% ที่ตั้งไว้

ขณะเดียวกัน แม้หอการค้าฯ จะเป็นองค์กรเอกชนที่มีภาคธุรกิจหลากหลายสาขาอาชีพเข้ามาทำงานร่วมกัน แต่ 91 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าองค์กรแห่งนี้มีวัฒนธรรมและสร้างรูปแบบการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไร้รอยต่อ โดยที่ประชุมกรรมการบริหารฯ มีมติเห็นชอบแต่งตั้งแต่งตั้ง ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ เป็นรองประธานกรรมการคนที่ 1 เพื่อเตรียมรับไม้ต่อเป็นประธานหอการค้าไทยคนถัดไปในปี 2568 ด้วย